เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 18 ม.ค. 65 ตำรวจ สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันตายที่หน้าบ้าน หมู่ 5 ซอยแพปลา ต.สิชล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ที่เกิดเหตุเป็นลานพื้นดินหน้าบ้าน บ้านปูนชั้นเดียว
กลางซอยพบศพผู้ตายชื่อ นายวิโรจน์ มุสิกพงษ์ อายุ 64 ปี สภาพศพนอนหงายในชุดนุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงินสวมเสื้อยืดคอกลมสีเขียว สวมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีเทา
ศพมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นขนาด .32 เข้าบริเวณท้ายทอย 1 นัด และใต้ตาขวา 1 นัด กระสุนฝังใน นอนตายในซอยที่เกิดเหตุ ส่วนคนร้ายมือยิงหลังก่อเหตุได้ถูกชาวบ้านและตำรวจล้อมจับได้ทันควัน คนร้ายชื่อนายอดิศร หรือ โป้ ขุนพรหม อายุ 28 ปีนั้น
ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ ซอยแพปลา หมู่ 5 ต.สิชลอ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช โดยบ้านของนายวิโรจน์ คนตาย คือบ้านชั้นเดียวสีเขียว มีลูกสาวลูกชายและภรรยาอาศัยอยู่ ส่วนบ้านของนายอดิศร คนก่อเหตุ มีรั้วติดกันอยู่ฝั่งขวาของบ้านขนตาย เป็นลักษณะบ้านปูนชั้นเดียวไม่ได้ทาสี และบริเวณหน้าบ้านของนายอดิศร หลังจากที่มีการยิงคนตายเสียชีวิตแล้ว ญาติได้มีการนำทรายมาถมทับคราบเลือด และมีการล้างทำความสะอาด
นางสาวแววรัตน์ สินหอยราก อายุ 37 ปี ลูกเลี้ยงของคนตาย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่บ้านของตนเองถูกนายอดิศร มือยิง บุกทำร้ายร่างกาย มีเหตุการณ์ต่อเนื่อง 3 ครั้ง และในแต่ละครั้งก็มีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นคดีทุกครั้ง ย้อนกลับไปเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2564 น้องชายของตัวเองกำลังออกไปทำธุระหลังบ้าน แต่จำได้ว่าวันนั้นที่บ้านมีงานเลี้ยง นายอดิศร คนก่อเหตุ ได้บุกเข้าไปที่หลังบ้านของตนเอง และเข้าไปทำร้ายร่างกายน้องชายจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นน้องชายไม่ได้มีเรื่องกับนายอดิศร เพียงแค่ออกไปทำธุระหลังบ้านเท่านั้น แต่นายอดิศรอยู่ในอาการคลั่ง และคล้ายกับคนเสพยาเสพติดจึงเกิดอาการหลอน
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา แม่ของตนเองออกไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนระหว่างบ้านของนายอดิศรกลับบ้านของตัวเอง นั่งพูดคุยอยู่กับกลุ่มญาติ 2 คน แต่นายอดิศรอยู่ในอาการคลั่ง เดินมาเตะถังขยะสีเหลืองล้ม ก่อนที่จะทุ่มกระถางต้นไม้หน้าบ้านแตกกระจาย แม่เห็นท่าไม่ดีจึงได้ลุกออกจากโต๊ะหินอ่อน แต่ก็ถูกนายอดิศรทำร้ายร่างกาย โดยการใช้สนับมือชกต่อยจนกระทั่งหูขวาช้ำเขียว และหูฉีก เย็บ 3 เข็ม ตามตัวมีรอยพกช้ำ
ในคืนวันเดียวกัน ช่วงที่ทุกคนเข้านอนแล้ว นายอดิศร ก็บุกเข้ามากลางดึกตะโกนด่าทอหน้าบ้าน ก่อนที่จะหยิบเอากระถางต้นไม้ 2 กระถาง ขว้างปาเข้ามาในบ้านทำให้รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหาย ตัวของนายวิโรจน์ ผู้เป็นพ่อ จึงได้วิ่งตามหลังออกไปเพื่อที่จะไปสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการก่อเหตุ แต่เมื่อเข้าประชิดตัวกลับถูกนายอดิศรทำร้ายร่างกายรอยพกช้ำเต็มตัว เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้พากันไปแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดนายอดิศร และตัวของพ่อยังมีการให้การกับพนักงานสอบสวนว่าวันที่นายอดิศรอยู่ในอาการคลั่ง บุกมาทำร้ายภรรยา เป็นเพราะไปทำงานรับจ้างได้เงินมาจำนวน 300 บาท นำไปซื้อยาเสพติด ยังได้รับยาเสพติดเป็นของแถมจากพรรคพวกที่เสพยาด้วยกันอีก 1 เม็ด เป็นการเสพยาเกินขนาด จึงทำให้อยู่ในอาการคลั่ง
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการคุมตัวนายอดิศรไปดำเนินคดี จับติดคุกเพื่อให้สงบสติอารมณ์ 1 คืน วันที่ 16-17 ม.ค. ก่อนที่จะปล่อยตัวออกมาในช่วงกลางดึกของวันดังกล่าว เช้าวันรุ่งขึ้นวันที่ 18 ม.ค. ทุกคนก็ต่างตกใจ เพราะเห็นนายอดิศรออกมาเดินใช้ชีวิตตามปกติในชุมชน ตนเองเคยมีการโพสต์เกี่ยวกับนายอดิศรว่าเป็นบุคคลอันตราย แต่ก็ไม่คิดว่าสุดท้ายตำรวจจะปล่อยตัวออกมาได้อย่างง่ายดาย และมาก่อเหตุซ้ำจนกระทั่งนายวิโรจน์ พ่อของตนเองถึงแก่ความตายแบบนี้
ด้านนางสาวแววรัตน์ ลูกเลี้ยงของคนตาย ยังได้ให้คลิปไลฟ์บางช่วงบางตอนกับทีมข่าว เป็นเหตุการณ์ช่วงเย็นของวันที่ 16 ม.ค. เป็นบรรยากาศในตอนที่รถกู้ภัยมารับตัวของแม่ส่งโรงพยาบาล ภายหลังที่นายอดิศรมีการทำร้ายร่างกายจนกระทั่งหูฉีก
เมื่อช่วงสายของวันนี้หลังจากที่นายวิโรจน์ ผู้เป็นพ่อถูกยิงเสียชีวิต ลูกสาวก็ได้มีการไลฟ์อีกครั้งหลังจากที่เจ้าหน้าที่รวมถึงชาวบ้านมามุงดู โดยเจ้าตัวไม่ได้มีการบรรยายอะไรในคลิป
นางวิภา สินหอยราก ภรรยาคนตาย เปิดเผยว่า สามีของตนเองเป็นเพียงแค่ชาวประมง หาเช้ากินค่ำ ดูแลคนในครอบครัว ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสามีรวมถึงคนในครอบครัวก็ไม่ได้มีใครไปทะเลาะกับนายอดิศร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากอาการคลั่งและการใช้ยาเสพติดเกินขนาด ทำให้มีการก่อเหตุทำร้ายคนในครอบครัวจนนับครั้งไม่ถ้วน ทางกลับกันครอบครัวของตนเองก็ไม่เคยไปมีปากเสียงหรือไปหาเรื่องกับนายอดิศร
ส่วนช่วงเวลาเกิดเหตุ ตอนนั้นสามีบอกกับตนเองว่า "จะออกไปดูนกที่บ้านยัง" เพราะในละแวกใกล้เคีย เป็นบ้านญาติพี่น้องด้วยกันทั้งหมด ปกติชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงเช้านายวิโรจน์สามีก็มักจะออกไปพูดคุยทักทายกับเพื่อนบ้าน เมื่อเช้าตอนที่ออกไปก็ไม่มีอะไรผิดสังเก เดินออกไปโดยไม่ได้มีการถืออาวุธปืน เพราะไม่ได้หวังที่จะไปมีเรื่องกับนายอดิศร แต่จังหวะที่เดินผ่านหน้าบ้าน นายอดิศรได้ออกมาชี้หน้าด่า ก่อนที่จะเอาอาวุธปืนมายิงสามีรัวมากกว่า 5-6 นัด จนกระทั่งสามีถึงแก่ความตาย เพราะอาจจะเกิดจากความไม่พอใจ ที่สามีรวมถึงตนเองแจ้งจับ เนื่องจากมีการทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ผ่านมา หลังจากได้รับการประกันตัวอาจมีความแค้น
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงวันที่ 16 ม.ค. ตอนที่ตนเองถูกทำร้ายร่างกาย ตอนนั้นก็ไปนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะมาหินอ่อนพร้อมกับญาติ 2 คน ก็ไม่ได้ไปมีเรื่องกับนายอดิศร จังหวะนั้นเห็นนายอดิศรเดินตรงปรี่เข้ามาด้วยท่าทางตาขวาง อาการคล้ายคนหลอนยาเสพ เตะถังขยะล้ม ก่อนที่จะขว้างปาและทำลายข้าวของ และตรงปรี่เข้ามาหวังจะทำร้ายร่างกายตนเองกับญาติ ตัวเองเห็นท่าไม่ดีจึงลุกออกจากโต๊ะหินอ่อนและพยายามจะวิ่งเข้าบ้าน แต่นายอดิศรได้เข้ามาทำร้ายร่างกาย จนกระทั่งตนเองล้มลงบนพื้น เนื้อตัวถลอก จากนั้นก็ถูกใช้กำปั้นชกเข้าที่กกหูขวา จนกระทั่งเป็นรอยช้ำเขียว และหูฉีปก เย็บ 3 เข็ม เพื่อนบ้านเข้ามาช่วยห้าม แต่ก็ถูกนายอดิศรกระโดดถีบจนกระทั่งล้มลงและกระทืบซ้ำ เชื่อว่าอาจเกิดจากการเสพยาเสพติด
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิด ตนเองจึงมองว่าเป็นการกระทำที่เกินไป และอยากจะย้อนถามระบบกฎหมายและการทำงานของตำรวจว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีและลงบันทึกประจำวันมาก 3 ใบ แต่ทำไมถึงไม่มีการดำเนินคดีหรือจับติดคุก ปล่อยออกมาให้มีการก่อเหตุจนกระทั่งนายวิโรจน์ สามี ถูกยิงถึงแก่ความตายได้อย่างไร ฉะนั้นเมื่อวันนี้เป็นการก่อเหตุรุนแรงถึงขั้นยิงคนตาย ก็อยากให้ติดคุกให้นานที่สุด ไม่ต้องถูกปล่อยออกมาสร้างภาระให้กับใครอีก หากเป็นไปได้ก็อยากให้ประหารชีวิต และให้พามาขออโหสิกรรมต่อคนตายด้วย
ส่วนเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างบ้านของตนเองกับครอบครัวของนายอดิศร คนก่อเหตุ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพราะที่ผ่านมาไม่เคยทะเลาะหรือมีปัญหาอะไร แต่มันเกิดเพียงแค่ตัวของนายอดิศรเพียงคนเดียว แต่ถ้าเกิดมีนายอดิศรกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ก็คงต้องออกห่าง เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีคนตายเพิ่มอีก
นางเพ็ญ (นามสมมติ) ย่าทวดของนายอดิศรมือยิง เปิดเผยว่า เมื่อช่วงสายวันนี้ ตนเองนั่งทานข้าวอยู่บนแคร่ อยู่กับนายอดิศรหลายชาย ซึ่งตอนนั้นหลานชายก็นั่งอยู่ในอาการปกติและนั่งกินข้าวอยู่ แต่ตัวของนายวิโรจน์คนตาย ได้เดินพาปืนบุกมาที่หน้าบ้าน แต่ไม่ได้มีการตะโกนด่าทอหรือทะเลาะอะไร ตั้งใจที่จะนำอาวุธปืนที่เตรียมมาในมือยิงนายอดิศร แต่นายอดิศรกระโดดเข้าไปประชิดตัว ทำให้นายวิโรจน์คนตายมีการยิงปืนทันที 2 นัด และทั้งคู่ก็ได้มีการแย่งปืน ก่อนที่หลานจะได้ปืนมาอยู่ในมือ ยิงไป 3 นัด จนกระทั่งตัวของนายวิโรจน์นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น แม่นายอดิศรก็รีบวิ่งมาจากบ้านญาติอีกหลัง เพื่อเข้ามาระงับเหตุ กระโดดกอดลูกชายและสั่งให้หยุด เนื่องจากตอนนั้นนายอดิศรกำลังตั้งถ้าจะยิงซ้ำ หลังจากที่แม่ห้ามนายอดิศรก็ได้ถือปืนวิ่งไปหลบที่บ้านของตัวเอง ซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 2-3 หลัง ไม่ได้ทิ้งปืนเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย
ส่วนตัวยืนยันว่าในช่วงเวลาเกิดเหตุตัวของนายวิโรจน์ คนตาย เป็นคนนำปืนมาที่หน้าบ้านของนายอดิศร ซึ่งตนเองอยู่ในเหตุการณ์สามารถยืนยันเหตุการณ์ได้ชัดเจน แต่ในทางกลับกัน ตนเองได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดแรก คิดว่าจะเป็นศพของนายอดิศรด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าปืนจะเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือของน้าอดิศรและก่อเหตุยิงนายวิโรจน์จนกระทั่งถึงแก่ความตาย
นางดา (นามสมมติ) แม่ของนายอดิศรมือยิง เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนเองไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกันกับลูกชาย มีเพียงย่าทวดกับนายอดิศรนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนตัวอยู่บ้านอีกหลัง แต่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจึงได้รีบวิ่งเข้าไปที่เกิดเหตุ ตอนนั้นลูกชายก็ก่อเหตุยิงนายวิโรจน์ถึงแก่ความตายแล้ว ตนเองพยายามขอร้องให้ลูกชายหยุดและวางปืน แต่ตอนนั้นลูกชายวิ่งหนีไปซ่อนตัวที่บ้านย่าทวด ก่อนที่จะถูกจับกุมในเวลาต่อมา สำหรับการก่อเหตุตนเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยืนยันว่าปืนไม่ใช่ของลูกชาย เพราะเจ้าตัวคงไม่มีปัญญาที่จะหาซื้อปืน ลำพังก็ต้องขอเงินกินทุกวันวันละ 50-100 บาท ไม่ได้ทำงาน
หากย้อนกลับไป ตนเองเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่เคยถูกนายอดิศร ลูกชาย ทำร้ายร่างกาย แต่พ่อเลี้ยงหรือคนที่เป็นญาติคนอื่นมักจะโดนทำร้ายร่างกาย เวลาคนอื่นทำอะไรขวางหูขวางตานายอดิศรก็จะเกิดอาการคลั่ง ไล่ทำร้ายคนอื่น พ่อเลี้ยงถึงขั้นโดนทุบตีจนช้ำเขียว ตัวเองยังสามารถที่จะสั่งห้ามไม่ให้นายอดิศรทำร้ายใครได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตอาการจะหนักถึงขั้นฆ่าแม่ตายอีกคนหรือไม่
ทุกวันนี้อาการของลูกชายยอมรับว่าเริ่มหนักขึ้น เนื่องจากไม่ได้รับยาจิตเวช ก่อนหน้านี้ต้องเข้ารับการรักษามาได้ตลอด ยืนยันว่าลูกชายมีบัตรจิตเวช สามารถไปขอประวัติได้จากโรงพยาบาลหลายแห่ง ส่วนกรณีเรื่องยาเสพติดนั้น ตนเองเชื่อว่าลูกชายไม่ได้มีการเสพ เพราะเพียงลำพังก็ไม่มีเงินที่จะไปใช้จ่ายอยู่แล้ว จะไปเอายาเสพติดที่ไหนมาเสพได้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าการก่อเหตุทั้งหมดเกิดจากอาการคลั่งเพราะขาดยาจิตเวช
หลังจากที่นายอดิศรลูกชายได้มีการก่อเหตุยิงนายวิโรจน์ถึงแก่ความตาย ตนเองก็อยากจะรับผิดและขอขมาแทนลูก แต่ครอบครัวของฝั่งคนตายแม้ว่าจะมีบ้านติดกัน ก็ประกาศพูดชัดเจนว่าห้ามมาเหยียบงานศพ ตนเองก็ที่จะไปทำบุญนอกรอบเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย แทนการไปร่วมงานศพ
สำหรับเรื่องของการประกันตัวลูกชายยืนยันว่าจะไม่มีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หลังเกิดเหตุแล้วยังไม่อยากจะมองหน้าลูกชายด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้เจ้าตัวถูกคุมตัวอยู่ที่โรงพักตนเองก็ยังไม่คิดที่จะไปเยี่ยมหรือจะไปส่งเข้าเรือนจำ เพราะสภาพจิตใจของตนเองย่ำแย่มากพอต่อพฤติกรรมของลูกชายที่มีการทำร้ายเพื่อนบ้าน จนกระทั่งถึงแก่ความตายแบบนี้