ษิทรางัดหลักฐานเด็ด เสี่ย 2 เมียตกรถตายส่อคดีพลิก - เมียเบอร์ 2 ผนึก "เดชา" ลั่นอย่ามโน (คลิป)

3 ก.พ. 65

กรณีนายอภิชาต พูลเผือก หรือ เสี่ยก้อง อายุ 39 ปี เจ้าของธุรกิจร้านเกาลัดชื่อดัง เสียชีวิตหลังตกลงมาจากรถกระบะของ น.ส.แหม่ม สาวคนสนิท ซึ่งญาติติดใจสาเหตุการตาย และถูกโวยวายกลางงานเผาศพเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา

283613147341

โดยญาติผู้ตายมีการตะโกนด่าทอ น.ส.แหม่ม หลังเห็นคลิปจากกล้องหน้ารถพบว่าช่วงที่เสี่ยก้องกระโดดลงจากรถ มีการเร่งเครื่อง และมีเสียงสนทนา ระหว่าง น.ส.แหม่ม กับน้องชายบอกว่า "ไม่ต้องช่วย แค่นี้ไม่ถึงตาย" ตามที่นำเสนอข่าวไปนั้น

401302

ล่าสุด เฟซบุ๊ก "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" โพสต์ข้อความระบุว่า ... เหตุการณ์ขณะเกิดเหตุมีรายละเอียด คือ ภาพเหตุการณ์เริ่มต้นจากรถคันกระบะ 4 ประตู ขับมาด้วยความเร็ว มีรถยนต์ของน้องชายแหม่มขับตามด้านหลัง (ซึ่งภาพทั้งหมดได้จากกล้องวงจรปิดรถน้องชายของแหม่ม) ... ความล่าช้าในการช่วยเหลือที่รอถึง 20 นาที และคำพูดประชดแดกดัน อาจส่งผลให้การช่วยปฐมพยาบาลและขอความช่วยเหลือไม่ทันท่วงที อาจเป็นหนึ่งสาเหตุให้เสี่ยก้องเสียชีวิตได้ครับ #ความผิดที่อาจเกิดขึ้นสำหรับแหม่มและพรรคพวก วินิจฉัยกรณีตามปัญหาสามารถเอาผิดกับแหม่มข้อหาไหนได้บ้าง สามารถออกได้เป็น 2 กรณี กรณีที่ 1 ถ้าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผล กรณีที่ 2 ประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย...

740867

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เปิดเผยว่า ตนได้รับการติดต่อจาก น.ส.พภัสสรณ์ ปิ่นจุ หรือ นุ่น อายุ 37 ปี ภรรยาของเสี่ยก้อง เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ให้มาเป็นทนายความคดีนี้ให้ และจะช่วยในเรื่องกฎหมาย ส่วนการช่วยเหลือ จะดู 2 ส่วน เรื่องคดีอาญา เกิดจากกระทำจะเกิดจาการกระทำของ น.ส.แหม่ม หรือไม่ หรือเกิดจากความประมาท หรืออาจจะแจ้งความข้อหาหนักกว่านั้น ต้องไปคุยและปรึกษากันก่อน ส่วนเรื่องคดีทางแพ่ง ต้องไปดูว่าจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้อย่างไรบ้าง

629339

จากคลิปตอนที่ตกรถข้อเท็จจริงทั้งคู่ทะเลาะกันมาระหว่างทาง และเสี่ยก้องจะเปิดประตูรถลงมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเปิดประตูหรือกระโดดลง ตามวิญญูชนไม่ควรจะไปเร่งเครื่อง หรือหักเลี้ยวควรจะชะลอรถ แต่กลับเหยียบคันเร่งหักพวงมาลัย ทำให้เสี่ยก้องเสียหลักหัวไปกระแทกพื้น ตนเองดูกล้องหน้ารถแล้ว น่าจะมีความผิดแน่นอน ในเรื่องที่ไม่ช่วยเหลือคนเจ็บ

ทุกอย่างที่จะดำเนินคดียืนยันว่าไม่มีการกลั่นแกล้ง แต่จะให้พนักงานสอบสวนพิจารณาคดีให้รอบคอบ ก่อนจะแจ้งข้อหาใคร เบาสุด ประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถ้าข้อหาหนักจะเป็นเจตนาเล็งเห็นผล ส่วนเรื่องทนายเดชามาเป็นทนายให้อีกฝั่ง เป็นสิทธิ์ของลูกความ ยืนยันไม่ใช่ศึกทนาย หรือความขัดแย้งส่วนตัว ต้องสู้เรื่องข้อเท็จจริง

265916

น.ส.พภัสสรณ์ ปิ่นจุ อายุ 37 ปี ภรรยาเสี่ยก้อง เล่าว่า ตนและทางญาติของผู้เสียชีวิตติดใจปมการตาย เริ่มจากตอนที่เกิดเหตุเป็นช่วงเวลาประมาณ 14.00 น. ทำไมช่วงตอนเกิดเหตุถึงไม่มีการแจ้งญาติไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่ชายหรือญาติของผู้เสียชีวิต และหลังจากเกิดเหตุจากที่ดูในคลิปทำไมตอนที่สามีตกจากรถ ถึงเร่งเครื่องขับออกไป และปล่อยเวลาทิ้งไว้นาน ไม่รีบให้การช่วยเหลือในทันที ทางครอบครัวและตนได้มารู้อีกทีหลังจากที่เกิดเหตุ ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ตนจึงสงสัยว่าทำไมถึงปล่อยให้เวลาผ่านไปล่วงเลยขนาดนี้

นอกจากนี้ ช่วงแรกมีการเอาคลิปความยาว 10 กว่าวินาทีเป็นช่วงที่สามีเปิดประตูรถ โดดออกจากรถสั้น ๆ เท่านั้น จากคลิปหากเราเป็นคนขับเห็นเขาเปิดประตูรถทำไมถึงไม่มีการชะลอจอด คาดว่าน่าจะมีการทะเลากันมา และสามีบอกให้จอด ถ้าไม่จอดงั้นโดด และถึงสามีโดดก็น่าจะชะลอไม่ใช่เร่งเครื่องออกไปแบบนั้น ตนมองว่าอย่างน้อยหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นต่อหน้าต่อตา ควรช่วยเหลือ ไม่ควรจะมาคิดว่าแกล้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ

496689

นอกจากนั้น หลังจากที่ได้เห็นคลิปความยาว 5 นาทีแล้ว รู้สึกสงสัยติดใจมาก ซึ่งตอนหลังพอดูคลิปใหม่ความยาว 5 นาที มีเสียงน้องชายของแหม่มสาวคนสนิทพูดว่า "ไม่ต้องช่วย ไม่ต้องช่วย ปล่อยมัน ปล่อยมัน มันแกล้ง ไม่ต้องเรียนมูลนิธิ"

ส่วนประเด็นที่ น.ส.แหม่ม สาวคนสนิทของสามี เคยตามมาระรานตนนั้นจริง ซึ่งเป็นช่วงเมื่อประมาณประมาณ 3 ปีที่แล้ว ตนและสามีไปตั้งร้านขายของด้วยกัน น.ส.แหม่ม ก็จะตามไปอาบะวาดที่หน้าร้าน เขวี้ยงปาข้าวของ และก็ตามมาอาละวาดที่บ้าน ซึ่งเกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยปะทะกันโดยตรง หรือทำร้ายร่างกายกัน ตนก็จะไม่ตอบโต้กับ น.ส.แหม่ม แต่จะไปตอบโต้และว่ากล่าวทางสามีของตนมากกว่า ซึ่งหลังจากนี้ตนกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 ได้ 7 เดือน ก็จะดูแลเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกต่อไปให้ดีที่สุด เพื่อสามีเพราะเขาเป็นคนรักลูกมาก

283714

นางสาวแหม่ม เปิดเผยว่า ตนเองยืนยันไม่ได้จงใจทำร้าย และไม่เคยคิดจะทำด้วย เพราะสามีเป็นพ่อของลูก และตนเองก็รักมาก ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ จนกระทั่งนำตัวสามีส่งโรงพยาบาล ตนเองก็อยู่เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง โดยสามีไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ ขณะที่ ภรรยาคนแรก ก็มีการเดินทางมาเยี่ยมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้ง โดยมีการพูดคุยกันถึงอาการ และการผ่าตัด และไม่ได้ทะเลาะกันอีก เพราะช่วงนั้นห่วงสามีอย่างเดียว

ที่เลือกมาปรึกษาทนายเดชา เพราะตนเองเป็นแฟนคลับอยู่แล้ว จึงมาปรึกษา หลังจากนี้ก็จะสู้ตามกฎหมาย โดยมีหลักฐานตามคลิปหลักฐานต่าง ๆ ที่เผยแพร่ออกมา เพราะยืนยันตนเองช่วยเหลือทันที ไม่ใช่ปล่อยทิ้งให้สามีตาย และยืนยันไม่มีการทุบ และทำร้ายสามี ตามที่บางสื่อเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ ส่วนงานศพของสามีตนเองเดินทางไปช่วยงานทุกวัน ครอบครัวสามีก็ปกติดี จนกระทั่ง 2 วันก่อนเผา สถานการณ์เริ่มตึงเครียด และมีญาติของสามีมาตะโกนด่าทอตนเองอยู่ กระทั่งวันเผาศพสามี มีญาติมาด่าทอตนเอง เป็นไปตามคลิปที่ก่อนหน้านี้ได้นำเสนอไปแล้ว

หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอหน้าครอบครัวสามีอีกเลย มีแต่ตนเองไปปรึกษาคนสนิทของเสี่ยก้องว่าอยากจะไปขอขมาญาติ เรื่องคำพูดของน้องชายที่ปรากฎในคลิป แต่ดูเหมือนญาติ ๆ ยังไม่พร้อม ยังมีอารมณ์โกรธอยู่ จึงยังไม่พร้อมไปขอขมา แต่ตั้งใจตั้งแต่วันนั้นแล้ว ตนเองคิดถึงสามีมาก โดยสามีมาเข้าฝัน บอกว่าไปสบายแล้วไม่ต้องห่วง ห่วงอย่างเดียวก็คือลูก ส่วนสภาพจิตใจตนเองตอนนี้แย่มาก ๆ เนื่องจากถูกสังคมมองในด้านลบว่าเป็นคนจงใจฆ่าสามีบ้าง เป็นเมียน้อยบ้าง มันแย่มาก ๆ

477799

ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เปิดเผยว่า อันดับแรกต้องดูพยานหลักฐานที่ปรากฏทั้งคลิป และประจักษ์พยานอีก 3 ปาก ซึ่งในสำนวนมีเพียงเท่านี้ นอกนั้นเป็นพวกที่มะโนเพ้อฝัน เห็นอีกอย่างแต่พูดอีกอย่าง เพราะฉะนั้นพนักงานสอบสวนก็จะดูเพียงเท่านี้ ซึ่งแนวคำตัดสินศาลฎีกาก็จะเท่ากับผู้ตายสมัครใจตาย เสี่ยงภัยกระโดดลงมาเอง ตัวน.ส.แหม่มไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องการขับรถไม่ได้ทำให้ตาย หากใครเรียนกฎหมายจะทราบ เพราะเรื่องพวกนี้เป็นพื้นฐานของคนที่เรียนกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 หากบุคคลใดจะรับผิดทางอาญา ต้องดูว่าความตายเป็นผลจากกระทำของเขาหรือไม่

ส่วนการลงจากรถไปช่วยเหลือแยกเป็นอีกส่วน การรีบลงไปช่วยเหลือ และปรึกษากับน้องชาย ตอนแรกน้องชายระบุว่าแกล้ง แต่ต่อมาได้เดินไปบริเวณที่ผู้ตายตกจากรถ ต่อเนื่องกัน แต่คิดว่าผู้ตายแกล้ง คิดว่าไม่เป็นอะไร แต่จากนั้นได้เรียกกู้ภัยมาถึง ซึ่งต้องใช้เวลา ตนเองมองว่า 15-20 นาที เป็นเรื่องปกติ โดยกฎหมายบอกว่าเห็นคนเจ็บหรือใกล้ตาย ต้องช่วยเท่าที่จำเป็น ดูแล้วนางสาวแหม่มก็ทำเต็มที่ สิ่งที่แหม่มทำตนเองมองว่าครบถ้วน

ส่วนเรื่องที่ทนายตั้ม มาเป็นทนายความให้อีกฝ่ายนั้น ตนเองไม่ทราบมาก่อนว่าอีกฝ่ายมีทนายตั้มเป็นที่ปรึกษา ทราบเพียงว่าเมื่อแหม่มจะมาแถลงข่าวที่สำนักงานทนายคลายทุกข์ครั้งแรก ผู้สื่อข่าวก็มีการไปสอบถามทนายตั้มก็คงจะมีการไปแนะนำให้ทนายตั้มมาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเอง ยืนยันเรื่องความขัดแย้งกับเรื่องคดีเป็นคนละส่วนกัน ไม่มีผลต่อรูปคดี ตนเองดูจากพยานหลักฐาน

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม