แม่เด็ก 8 ขวบ เผย ญาติธรรมกว่า 60 คนมาเป็นพยาน คดี พมจ.สุราษฎร์ธานี ยื่นฟ้อง ปัดน้องเชื่อมจิตป่วนศาลเมื่อวาน ด้านทนายตุ๋ยเล่านาทีระทึก พ่อเชื่อมจิต หวิดวางมวยหน้าบังลังก์
วันที่ 2 ก.ค. 67 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี นางนัฐพร วงศ์ทวิชาติ หรือ แม่นก แม่ของเด็ก 8 ขวบ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของศาลว่า คดีนี้เป็นคดีที่สำนักงานพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.สุราษฎร์ธานี) ร้องขอให้น้องหยุดทำกิจกรรมในการสอนธรรมมะ และการเชื่อมจิต ซึ่งวันนี้เป็นการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยทั้งหมดมี 60 กว่าคน
ซึ่งเป็นบุคคลที่ตนไม่ได้เตรียมไว้ และแต่เขาทนไม่ไหว จึงขอมาเป็นพยาน ซึ่งเป็นญาติธรรมที่เคยไปปฏิบัติธรรมกับน้อง ริงๆจะมากันเยอะกว่านี้ แต่ว่าเพียงเท่านี้ก็เยอะแล้ว สำหรับวันนี้คดีของ พมจ.สุราษฎร์ธานี เป็นการไต่สวน และศาลคงจะมีการนัดว่าจะมีคำสั่งออกมาวันไหน
เมื่อถามว่า มีความกังวลใจหรือไม่ ในเรื่องคดี เพราะมีการวิคราะห์ว่าอาจถึงขั้นแยกตัวเด็กออกมา นางนัฐพร กล่าวว่า อันนั้นเป็นเรื่องที่เราวิเคราะห์ และคิดกันไปเอง เพราะศาลต้องดูจากความเป็นจริงว่าคืออะไร เพราะที่ พมจ.สุราษฎร์ธานีร้องมาก็ไม่มีมูลเหตุที่มีความเป็นจริง โดยร้องว่าตนไปบังคับน้องให้พูดเรื่องว่าน้องเป็นใคร และบังคับให้น้องมาสอนธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ความจริง
ส่วนคดีที่ฟ้องสื่อมวลชนสำนักหนึ่ง คือเป็นการร้องต่อศาลที่สื่อดังกล่าวนำภาพน้องไปตัดต่อรูปพระพุทธเจ้า ซึ่งฝ่ายตนก็ร้องขอให้เขาลบภาพดังกล่าวออก ส่วนข่าวที่ออกไปลักษณะว่าจะมีการฟ้อง 30 คดีเกี่ยวกับสื่อนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะสื่อไหนที่นำข่าวไปออกตามความเป็นจริง เราก็ไม่ไปฟ้อง และที่ผ่านมาตนก็กระซิบบอกสื่อว่าอันนี้ไม่ใช่ความจริง อันนี้เป็นความจริง เพื่อป้องกันปัญหา เนื่องจากเราก็ไม่อยากฟ้องร้องสื่อ นอกจากอันไหนที่ไม่จริงแล้วยังเอาไปนำเสนอ ตนก็ต้องฟ้อง เพื่อรักษาสิทธิ์
ส่วนที่มีการดำเนินคดีกับ หนุ่ม กรรชัย พิธีกรชื่อดัง และรายการโหนกระแสนั้นเนื่องจากที่ผ่านมาเคยแจ้งให้เขาลบภาพไปแล้ว แต่กลับไม่มีการลบภาพของน้องออก จึงต้องเดินเรื่องตามกฏหมาย จนกลายเป็นกระแส และเพิ่มกระแส แตกประเด็นออกไป และยืนยันว่าน้องไม่เคยอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเรื่องก็มีอยู่แค่นี้ แต่ตอนนี้มีการบิดเบือนคำพูดออกไปเยอะมาก แม้กระทั่งกล่าวหาว่าตนเป็นร่างทรงหรือไปตัดต่อเสียงน้องใส่ถ้อยคำไม่สุภาพลงไป จนเกิดให้จนเกิดการเข้าใจผิด
เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ได้เจอกับ หนุ่ม กรรชัย หรือไม่ นางนัฐพร กล่าวว่า ไม่ได้เจอเพราะช่วงที่ตนและน้องอยู่ในบัลลังก์เขาก็ไม่ได้เข้ามา และช่วงที่เราเดินออกมาจากบัลลังก์ ซึ่งต้องออกไปอยู่ด้านนอกห้อง เมื่อถึงช่วงที่หมอเป็นพยาน หนุ่ม กรรชัยจึงจะเข้าไป และเมื่อเรากลับเข้าไปในห้องอีกทั้ง หนุ่ม กรรชัย ก็ออกมา จึงยังไม่ได้เจอกัน
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่จะมีการฟ้องร้องสื่อ 30 คดี แม่นางนัฐพร กล่าวว่า สื่อที่นำเรื่องราวของน้องตามความเป็นจริงตนก็ไม่ฟ้อง แต่ตอนนี้ที่มีปัญหา คือพอมีอะไรที่แตกประเด็นออกไป ทำให้น้องเสียหาย ก็ไปนำเสนอกันต่อ ตนก็ต้องฟ้อง เพื่อรักษาสิทธิ์ และยืนยันว่าที่มีกระแสข่าวว่าน้องไปก้าวร้าวในศาลนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง แต่น้องในฐานะฝ่ายโจทก์บางอย่างน้องก็มีสิ่งที่น้องอยากจะพูด ภาพที่เห็นเป็นลักษณะน้องยกมือขอศาลเสร็จแล้วก็เดินไปที่ศาล ด้วยความที่ว่าศาลกำลังไกล่เกลี่ย สองฝั่ง ท่านก็ไม่อยากให้น้องเข้าไปได้ยินเรื่องความขัดแย้ง จึงบอกว่าให้น้องไปนั่งก่อน ทนายความจึงให้น้องมานั่งตรงจุดที่ทนายนั่งอยู่ และน้องก็นั่งอ่านเอกสารของทนาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติไม่เห็นมีอะไร แต่กลับทำให้มีอะไรกันเท่านั้นเอง
น้องก็ยิ้มให้กับทุกคน เพราะเขาไม่ได้มองว่าเป็นอริ หรือศัตรู และน้องเป็นเด็กขี้เล่นก็ยิ้มตามปกติ ซึ่งมันไม่มีอะไรเลย แต่ศาลบอกไว้แล้วว่า เรื่องทั้งหมดที่อยู่ในศาลก็มีเจ้าหน้าที่บันทึกไว้ทั้งหมดอยู่แล้วว่าใครทำอะไรไว้อย่างไรที่ศาล ศาลท่านรู้หมด
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าพ่อของน้องกับทนายตุ๋ยหวิดวางมวยกันจริงหรือไม่นั้น นางนัฐพร กล่าวว่า ต่างฝ่ายต่างมีวุฒิภาวะ ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ด้านทนายตุ๋ย ทนายความของ หนุ่ม กรรชัย กล่าวถึงเหตุปะทะคารมกับพ่อของน้องว่า เมื่อวานหลังจากสืบพยานเสร็จแล้ว ศาลต้องพิมพ์คำเบิกความในขณะสืบพยาน ฝั่งตัวโจทก์ ซึ่งเป็นหมอ ก็มีน้องกับคุณแม่ต้องออกไปรอนอกห้องพิจารณา เนื่องจากนั่งฟังไม่ได้ตามกฎหมาย พอกลับเข้ามาจะต้องมีการเซ็นคำเบิกความซึ่งเป็นแม่กับน้อง เผอิญว่าทนายธรรมมราชเหมือนเขาอ่านให้คุณแม่กับน้องฟัง ในฐานะทนายความ ตนก็ต้องบอกไปตามกฏหมายว่าทนายทำ จะอ่านให้คู่ความฟังไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เบิกความ คุณพ่อเขาก็ยกมือขึ้นมา ตนก็ถามว่ายกมือทำไม เพราะตนคุยกับทนายธรรมราช เป็นเรื่องของกระบวนการพิจารณาในศาล พ่อเขาหันมาหาตนบอกว่ายกมือแล้วทำไม แล้วก็เดินเข้ามาหาตน ในขณะที่หน้าตาและสายตาตนรู้สึกว่าเขาพร้อมที่จะเข้ามาทำร้ายตนได้ แต่ตำรวจศาลก็เข้ามาห้าม ตนก็เลยบอกว่า ตนจะใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องให้ผู้พิพากษาพิจารณาอีกครั้งว่า ถ้าครั้งหน้าทำแบบนี้อีกต้องขอให้ออกไปนอกศาล