ณัฐวุฒิ เปิดใจ ยอมรับกลับลำคำพูด นั่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี หลังบอกไม่จับมือพรรค 2 ลุง ปัดเข้ามาช่วยรับมือม็อบป่วนรัฐบาล
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 67 นาย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ประเด็นดรามากลับลำคำพูด เพราะเคยระบุไว้เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 66 ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไปจับมือกับ 2 ลุง ตนเองก็คงอยู่ในพรรคเพื่อไทยไม่ได้ แต่ต่อมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้เป็น ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีนั้นว่า
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ถ้าจะพูดอย่างนั้น ตนก็ไม่คิดจะปัดป้องตัวเอง เมื่อตัดสินใจเดินมาในเส้นทางนี้ก็พร้อมรับคำพิพากษาจากประชาชน แต่หากอธิบายมุมของตน ตลอดเวลาปีเศษๆ ที่ผ่านมา ตนเกิดการเรียนรู้ว่า เราต้องอยู่กับความจริงของสถานการณ์ให้ได้ และการเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ สิ่งที่เป็นอยางนี้ พรรคการเมืองที่ถูกเคยจับอยู่ขั้วเดียวกันอย่างพรรคเพื่อไทยและอดีตพรรคก้าวไกล ปัจจุบันคือพรรคประชาชน ต่างก็ยังเป็นผู้ถูกกระทำด้วยกันทั้งคู่ ตั้งแต่พรรคก้าวไกลถูกยุบ และ นายเศรษฐา ทวีสิน ถูกให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากเราเข้าใจความจริงทางการเมืองในเวลานี้ก็ต้องพูดตรงๆ ว่า พรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะโดยเป็นแกนนำ หรือพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม เป็นเงื่อนไขทางอำนาจ และทางการเมืองที่ซับซ้อน
ปรากฎการณ์ที่มันเป็น มันเกิดควบคู่กับที่ทุกคนที่เป็นบุคคลสำคัญในรัฐบาล หรือในพรรคเพื่อไทยอยากให้ตนกลับไปช่วยกันคิดช่วยกันทำในเรื่องที่ตนรับได้ และไม่ถึงขั้นบังคับจิตใจกัน ตนติดตามสถานการณ์เหล่านี้ และในที่สุดก็บอกตัวเองว่าถ้าถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง ก็ต้องประกาศต่อประชาชนว่าตนกลับมาช่วยทำงานในรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย
ผู้ใหญ่หลายคนห่วงใยตน ถามว่าอยากจะมาช่วยกันเบื้องหลังหรือมาช่วยแบบไม่ต้องเปิดเผย มาช่วยคิดช่วยทำและจะปลอดภัยจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ตนบอกว่าถ้าตนจะกลับมาตนจะไม่แอบซ่อน กลับมาก็ต้องบอกกล่าวกับประชาชนแบบตรงไปตรงมา ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ตนพร้อมน้อมรับ
เมื่อถามว่า การเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้ อาสาหรือเขามาขอให้ไปช่วย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การที่มาช่วยให้ตนกลับไปช่วยกันคิดช่วยกันทำ มีมาเป็นระยะๆ เพียงแต่ไม่ใช่การคาดคั้น หรือกดดันความรู้สึกอะไร ซึ่งนายเศรษฐาเคยบอกว่า ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามารับหน้าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่ไทย ได้นั่งคุยกับตนสองตน และตนตอบทุกคำถาม เพื่อเชิญชวนให้ท่านตัดสินใจเข้ามา แต่พอถึงวันที่นายเศรษฐาข้ามข้อจำกัดทุกอย่างของตัวเองเข้ามาเป็นนายกฯ ตนก็มีเส้นบางเส้นของตนที่ข้ามไปไม่ได้ ตนก็บอกลานายเศรษฐา
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แต่ตลอดวเลา 1 ปีเศษๆ ตลอดที่นายเศรษฐาเป็นนายกฯ เราพบกันตลอด มีการพูดคุยกันบ้าง ท่านแสดงออกชัดเจนว่าอยากให้ตนมาช่วยกัน แต่ท่านไม่เคยกดดัน คาดคั้น ท่านพูดว่าวันที่คุณบอกให้ผมมา ผมก็มา แล้วผมมาจนถึงวันนี้ แต่ถ้าผมบอกให้คุณมาบ้าง คุณก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธผมได้ แต่ผมเคารพคุณ ไม่กดดันคุณ ส่วนท่านอื่นๆ ก็มีลักษณะคล้ายๆ กัน ดังนั้นเมื่อถึงจุดที่ตนตอบกลับมาว่ายินดีกลับมาช่วย ก็ให้เปิดชื่อเลย ไม่ต้องอยู่ข้างหลัง โดยมีการชวนกันก่อนและตนก็ให้คำตอบ
เมื่อถามว่า ใครเป็นคนออกปากชวน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า หลายคน เพราะตอนปลายๆ รัฐบาลเศรษฐา ตนตอบไปแล้วว่า “พี่ครับ เดี๋ยวผมกลับมาช่วย” เพราะนายเศรษฐาตามตนไปคุยที่ จ.ภูเก็ต เดินคุยที่ชายหาดสองคน เมื่อกลับมาถึง กทม.ตนก็ได้ตอบรับนายเศรษฐาว่าพร้อมกับมาช่วยแล้ว และรอให้ผ่านการวินัยฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แล้วจะได้กลับมาช่วยกัน ตรงนั้นตนได้บอกผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมือง น.ส.แพทองธารมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตนก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจ เพราะว่า น.ส.แพทองธารก็อยากให้ตนมาช่วยคิดช่วยทำงานเหมือนกัน แต่มาช่วยกันหลายคนและหลายทีม
เมื่อถามว่า การกลับมาช่วยงานพรรคเพื่อไทยในจังหวะนี้ เข้าไปช่วยงานมวลชนและวางแผนรับมือม็อบหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เราไม่ได้มีการพูดกันถึงเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมานายเศรษฐา และน.ส.แพทองธารไม่เคยพูดถึงเรื่องการเคลื่อนไหวของมวลชน เรื่องม็อบเลย เมื่อถามย้ำว่า แล้วแบบนี้จะเข้ามาช่วยเรื่องอะไร ที่เป็นภารกิจหลักๆ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมืองและการประเมินสถานการณ์ต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องว่ารัฐบาลควรจะเดินทางอย่างไร หรือนายกฯ ควรรับสถานการณ์เหล่านั้นอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า สรุปคือการไปช่วยดูยุทธศาสตร์ทางการเมืองใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า “ครับ และการสื่อสารข้อมูลสู่ประชาชนดัวยครับ” เมื่อถามว่า เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ดูแลเรื่องความมั่นคงคนเดียวเอาไม่อยู่ใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนอยากให้เข้าใจว่าตนไม่ได้เก่งกาจสามารถจนรัฐบาลมาขอความช่วยเหลือ เพียงแต่เรื่องนี้เรื่องใหญ่ นายภูมิธรรมมีประสบการณ์และศักยภาพสูง เพียงแต่ท่านก็มีภารกิจต่างๆ ล้นมือ ตนเข้าไปอาจจะช่วยแบ่งเบาได้ส่วนหนึ่ง และอาจมีท่านอื่นๆ ในส่วนต่างๆ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การเมืองไม่มีสูตรสำเร็จว่าคิด หรือแนวทางของใครต้องถูกที่สุดเสมอไป แต่การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องคิดและประเมินหลายฝ่ายรอบด้าน และเลือกเส้นทางที่ลงตัวที่สุดต่อสถานการณ์ที่จะเดินไปข้างหน้า
เมื่อถามว่า จุดอ่อนของรัฐบาลคือการสื่อสารทางการเมือง ทำไมไม่ดึงนายจักรภพ เพ็ญแข เข้ามาเสริมทีม นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เข้าใจว่านายจักรภพเองก็มีความพร้อมสนับสนุนเนื้องานรัฐบาลหลายโอกาส แต่การจัดวางสถานะหรือวิธีการทำงานอย่างไรตนไปตอบแทนรัฐบาลไม่ได้ เพราะหน้าที่ของตนก็คือตามที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อถามว่า ภารกิจครั้งนี้ต้องดูแลเสริมเรื่องภาพลักษณ์นายกฯ ด้วยหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนไม่ได้กังวลเรื่องภาพลักษณ์นายกฯ เพราะเห็นความเป็นธรรมชาติ และตัวตนมาตั้งแต่เราเดินสายหาเสียงมาด้วยกันว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางประชาชน พลังความเป็นผู้นำจะแสดงออกมา เพียงแต่ว่าด้วยวัยวุฒิที่ยังไม่มากนักหากเทียบกับนายกฯคนอื่นๆ และสไตล์การทำงานที่อาจแปลกใหม่ ก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกันและกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แต่ทั้งนี้ไม่ใช่จุดอ่อน ทุกคนมาเป็นนายกฯก็ต้องใช้เวลาในการจัดสถานะความสัมพันธ์และโครงสร้างในสังคม ต่อให้เชี่ยวชาญหรืออายุเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อขึ้นมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีเวลาทำเรื่องเหล่านี้ทั้งนั้น
ขอบคุณข้อมูล : รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand”
Advertisement