ธเนตร วงษา ยันไม่ใช่เทวดา ยอมรับเคยเป็นบอสของ บอสพอล แต่ไม่ได้เป็นกุนซือ ดิไอคอน

17 ต.ค. 67

ธเนตร วงษา ยันไม่ใช่เทวดา ยอมรับเคยเป็นบอสของ บอสพอล ก่อนแยกตัวไปเปิด ดิไอคอน แต่ไม่ได้เป็นกุนซือ ระบุเคยถูกชวนร่วมธุรกิจจริง แต่ปฏิเสธ เพราะดูโครงสร้างแล้วไม่ปกติ 

จากกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ร่วมกับทีมทนาย พาผู้เสียหายเข้าแจ้งความเอาผิดบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กอ้างว่า 

”จริงๆ แล้ว กุนซือของบอสพอล หรือบอสคนสุดท้าย เคยพยายามโทร และนัดพบตนเองมาหลายครั้ง ในหลายปีแล้ว ทั้งชวนเล่นการเมือง ทั้งชวนทำธุรกิจ ผ่านนักข่าวคนหนึ่ง แต่ตนเองไม่เคยสนใจ จนเมื่อวานสายลับได้พูดถึงในรายการ ทำให้นึกย้อนมาได้ว่า บอสคนสุดท้าย ผู้เป็นอาจารย์ของบอสพอล และปรมาจารย์ของธุรกิจขายตรงแบบเครือข่ายคือ บอส ธ ผู้เป็นเจ้าของวลีดัง“ 

จากนั้น นาย เดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “ทนายคลายทุกข์” ระบุในเรื่องเดียวกันว่า “ธเนตร วงษา แจ้งทนายเดชาว่า บอสพอล เคยทำงานกับตัวเองมา 7 ปี แต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ the icon เมื่อสักครู่นี้” ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ 

ต่อมาวันที่ 17 ต.ค. 67 นาย ธเนตร วงษา นักธุรกิจพันล้าน อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. และเป็นเจ้าของหนังสือ "ขยันถูกที่ ปีเดียวรวย" ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว “อมรินทร์ทีวี” ถึงกรณีดังกล่าวว่า ยอมรับว่ารู้จักกับ “บอสพอล” นาย วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เจ้าของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ปจริง เพราะเมื่อประมาณปี 54 หลังจากตนประสบความสำเร็จในธุรกิจขายตรงในบริษัทแรกที่ตนเข้าไปทำ คือ บริษัท อ. แล้วตนก็ลาออกมาทำกับอีกบริษัทขายตรงนึงคือ บริษัท จ. ซึ่งตอนนั้น “บอสพอล” ก็ทำธุรกิจอยู่ที่บริษัทขายตรง จ. อยู่แล้ว จึงเข้ามาปรึกษาตนในฐานะที่ตนประสบความเร็จในธุรกิจนี้มาก่อน 

โดยเล่าให้ตนฟังว่าเขาวนเวียนอยู่ในธุรกิจที่เกี่ยวกับการขายมานาน ทั้งเคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เคยขายของให้กับบริษัทหลายแห่ง ทั้งบริษัทขายตรง อว. และ บริษัทขายตรง อ. แต่ไม่ประสบความสำเร็จสักที เพราะยังไม่ได้รู้จักกับตน 

หลังจากนั้นตนก็เลยชวน “บอสพอล” มาเป็นลูกทีมในบริษัทขายตรง จ. โดยตนอยู่ในระดับ ดับเบิลไดมอนด์ ส่วน “บอสพอล” ก็อยู่รองลงมาคือระดับ ไดมอนด์ ลงทุนด้วยเงิน 1 แสนบาท ซึ่งทำงานด้วยกันมา 7 ปี คือปี 54-60 ตอนนั้น “บอสพอล” สร้างรายได้รวมเป็นหลักร้อยล้านบาท ทำให้ในปี 2561 “บอสพอล” ขอลาออกไปตั้งบริษัทใหม่ในนาม “ดิไอคอน” ด้วยการจดทะเบียนรูปแบบการตลาดกับ สคบ. เป็นการตลาดแบบตรง ซึ่งคนละแบบกับที่เคยทำกับตน โดยให้เหตุผลกับตนว่าอยากเติบโตมากกว่านี้ และ ณ ตอนนั้น ระหว่างตนกับ “บอสพอล” ก็ไม่ได้มีปัญหาทางธุรกิจ ไม่ได้ทะเลาะกันด้วย แต่มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้า-ออกได้ตลอด เพราะธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจอิสระ 

แต่ในช่วงแรกๆ ที่ “บอสพอล” ไปตั้งบริษัทใหม่ เขาก็เอาทีมงานเดิมไปด้วย ประมาณ 10 คน และก็มีติดต่อมาพูดคุยกับตนบ้าง แต่ไม่ได้เชิญชวนให้ไปเป็นกุนซือหรือร่วมธุรกิจ แค่ติดต่อมาบอกเล่าให้ฟังว่าธุรกิจใหม่ของเขาไปได้ดี ตอนนั้นตนก็ยินดีด้วย  แล้วหลังจากที่ไม่ได้ทำธุรกิจด้วยกัน ก็คุยกันน้อยมาก ส่วนใหญ่จะถามสารทุกข์สุขดิบกันผ่านไลน์ เพราะตัวของเขาเองก็ยุ่ง เนื่องจากธุรกิจกำลังรุ่ง 

นาย ธเนตร กล่าวต่อว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเคยมีทีมงานของ “บอสพอล” มาทาบทามให้ไปร่วมธุรกิจ แต่ตนก็ปฏิเสธไป เพราะตนรู้ว่าธุรกิจของเขามันไม่ใช่ขายตรง ดังนั้นจะไม่ทำธุรกิจอะไรที่สุ่มเสี่ยง ไม่อยากติดคุกในวัย 60 ปี  และตนก็ไม่ใช่เทวดาที่คอยเปิดทางใช้เส้นสาย สคบ. ให้ “บอสพอล” ตามที่มีข่าวลือด้วย แล้วที่ผ่านมาตนทำธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องมีการเอาเงินไปให้ใคร ตนไม่ได้ถือหุ้น 21 เปอร์เซ็นต์ในธุรกิจของ “บอสพอล”ตามที่ถูกกล่าวหาด้วย 

ส่วนภาพที่มีข่าวว่าตนพา “บอสพอล” และคนอื่นๆไปนั่งพูดคุยกับนักการเมืองท่านหนึ่ง ส่วนนี้ก็ยืนยันว่าเป็นเพียงการพูดคุยเรื่องการเมืองเท่านั้น เพราะในตอนนั้นมีการพูดคุยให้ตนลงสมัคร สส. แต่ตนก็ไม่ได้ลง 

อย่างไรก็ตามตนเองไม่ได้เครียดกับข่าวที่กำลังถูกพูดถึง เนื่องจากมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ “บอสพอล” แค่คนรู้จักกันตามปกติ 

ยืนยันอีกว่าที่ผ่านมา ตนไม่เคยทำธุรกิจที่เกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ ดังนั้นตนจึงไม่ใช่บิดาแห่งแชร์ลูกโซ่ตามที่ถูกกล่าวหา เพราะตลอด 30 ปีที่ตนทำงานมา มีเพียงแต่บริษัทที่อยู่ในเครือข่ายขายตรงที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด ไม่มีแชร์ลูกโซ่ ไม่มีการชักชวนให้คนไปเล่นมันนี่เกมส์ 

จนกระทั่งช่วงสุดท้ายที่ตนอยู่กับบริษัทขายตรง จ. คือ 11 ปี และลาออกในปี 65 ก็ไม่เคยยุ่งกับแชร์ลูกโซ่ ไม่เคยมีปัญหาถูกร้องเรียน เพราะตนไม่เคยไปหลอกให้ใครมาลงทุนเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง โดยตอนที่ตนทำกับบริษัทขายตรง จ. มีเพียงแต่การลงทุนครั้งเดียวคือ 40,000 บาท แล้วหลังจากนั้นคนที่ลงทุนก็จะต้องไปขายของและขยายเครือข่ายของตัวเอง ด้วยการใช้หลัก 3S 1M คือ SALE ขายของ , SPONSOR แนะนำคนที่สนใจ , SERVICE ดูแลทีมงานที่แนะนำมา , MEETING ให้ความรู้ทีมงานเพื่อการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดต้องทำงานด้วยใจ พูดในสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ขายฝัน ภายใต้ concept “คุณธรรมนำธุรกิจ” และ “ลงทุนน้อยๆ เรียนรู้ให้เยอะในช่วงเริ่มต้น” หลังจากตนออกจากบริษัทขายตรง จ. ก็มาทำธุรกิจขายตรงเกี่ยวกับอาหารอาหารเสริมและเป็นเจ้าของหนังสือ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนตอนนี้อยู่ในสถาะคนตกงาน 

นายธเนตร ยังวิเคราะห์ด้วยว่า จุดพลาดสำคัญของ “บอสพอล” ที่ทำให้มาถึงจุดนี้ได้ นั่นคือการเน้นชักชวนให้คนร่วมลงทุนมากเกินไป จนเกิดการสูญเสียทั้งทรัพย์สินและชีวิต เพราะคนเหล่านี้ต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเปิดบิล ทำให้เดือดร้อน จนสุดท้ายไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเครือข่ายมันขยายวงกว้างไปแล้ว 

ส่วนถ้าถามว่าเห็นอะไรในตัว “บอสพอล” หลังจากเกิดข่าวดังและไปออกรายการต่างๆ เจ้าตัวบอกว่า “ผมว่าเขารับผิดชอบนะครับ” โดยเฉพาะที่เขาบอกว่าจะรับผิดชอบจนบาทสุดท้ายและร้องไห้ในรายการ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เขายอมรับโดยนัยยะว่าเขาไม่สามารถควบคุมลูกข่ายได้ จนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ 

และแม้ว่าตัวเองจะเป็นรุ่นพี่ที่เคยทำธุรกิจด้วยกันจริง สิ่งที่อยากจะอยากจะบอกกับ “บอสพอล”  ในวันนี้คือ ”ที่ผ่านมาสิ่งไหนผิดก็รับผิดชอบด้วยการเยียวยาผู้เสียหาย ก็ถือว่าสุดยอดแล้วครับ ทำงานเยอะก็ผิดพลาดได้ว่ากันไปตามกฎหมาย” 

เมื่อถามว่า หาก “บอสพอล” ติดต่อมาขอคำปรึกษาจะยินดีให้คำปรึกษามั้ย? นาย ธเนตร กล่าวว่า “คุยกันได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไร เพราะสิ่งไหนที่ผิดไปก็ต้องรับผิดชอบให้ผู้เสียหายได้บรรเทา“

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส