ทิ้งความกดดันไว้ที่นี่ แล้วทำให้เต็มที่ "โอปอล สุชาตา ช่วงศรี" Miss Universe Thailand 2024 เปิดใจก่อนบินไปเม็กซิโก สู้ศึก Miss Universe 2024
"โอปอลรู้สึกว่าการที่พี่แอนโทเนียไปถึงรองอันดับ 1 มันเป็นใบเบิกทางให้รุ่นน้องปีต่อๆ ไปด้วยมรดกที่เขาทิ้งไว้ที่มิสยูนิเวิร์ส ให้ประเทศไทยได้รับการสนใจมากขึ้นว่าผู้หญิงไทยมีศักยภาพ ไม่ใช่แค่สวยภายนอกแต่ภายในก็สวย แถมยังมีศักยภาพ มีความสามารถ ไม่ใช่แค่พี่แอนโทเนียด้วยซ้ำ ปีก่อนๆ พี่แนทเปิดประตู มันทำให้แสงส่องมาที่ประเทศไทย แล้วโอปอลรู้สึกว่าถ้าเรามองเป็นความกดดันมันก็จะไปไม่ถึงค่ะ แต่ถ้าเรามองว่ามันคือโอกาสมันอาจจะไปถึงมงเลยก็ได้ค่ะ"
โอปอล สุชาตา ช่วงศรี Miss Universe Thailand 2024 ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ออนไลน์ ก่อนเดินทางไปเม็กซิโก เพื่อเข้าร่วมการประกวด Miss Universe 2024 ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน เวลา 09.00 น. ถึงการเตรียมตัวเพื่อนำมงกุฎแห่งจักรวาลมงที่สามกลับมาฝากแฟนๆ หลังคนไทยรอคอยมานานถึง 36 ปี นับจากปีที่ ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซมอน เคยได้มงกุฎในปี 1988 เป็นมงที่สอง และมงแรกจาก ปุ๊ก-อาภัสรา หงสกุล ในปี 1965
จากผู้ชมในปี 2023 สู่ตัวแทนประเทศปี 2024
ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ปี 2023 โอปอล สุชาตา มีโอกาสไปร่วมเชียร์ แอนโทเนีย โพซิ้ว ตัวแทนประเทศไทย ณ ขณะนั้น ทำให้เธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในวันนั้นเพื่อมาเตรียมพร้อมในวันนี้
การที่โอปอลได้ไปดูหน้างานจริงปีที่แล้วที่ไปเชียร์พี่แอนโทเนีย มันไม่เหมือนกับที่ดูในจอผ่านทางบ้านเลย เราเห็นความรู้สึกเยอะมากๆ แล้วเรารู้ว่าเสียงเชียร์หน้างานดังขนาดไหน รู้ว่านางงามแต่ละประเทศบนเวทีเขาทำอย่างไร แล้วทำไมเขาถึงโดดเด่นออกมา โอปอลรู้สึกว่าการที่เราไปดูหน้างาน มันทำให้เราเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เยอะมากขึ้น ทำให้รู้ว่า โอเค..ถ้าฉันไปยืนตรงนั้น จะต้องรับมือกับเสียงเชียร์ที่ดังมากๆ ยังไง หรือว่าจะต้องยืนยังไง ให้มันดูโดดเด่นออกมาค่ะ
ถึงคราวเป็นความหวังในการคว้ามงสาม
โอปอลไม่ได้กดดันเลย โอปอลมองว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราไม่ได้รู้สึกกดดันหรือเครียดจนเกินไปที่เราจะไปอยู่จุดนั้น พี่ๆ หลายคนก็บอกเหมือนกันว่าสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราไป เราต้องเอนจอยกับทุกโมเมนต์ ต้องเป็นตัวเองแล้วก็แฮปปี้กับทุกอย่างที่เราทำ แล้วทำทุกอย่างออกมาจากใจ มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เราก็คิดไว้แล้วว่าการที่เรากดดันหรือเครียดมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น โอปอลรู้สึกว่าเราเป็นคนที่เก็บหน้าค่อนข้างเก่งในระดับหนึ่ง เพราะว่าเราก็เคยขึ้นเวทีปี 2022 มาแล้ว เวลาตื่นเต้นอะไรเราก็จะเก็บอารมณ์ได้ค่อนข้างดี แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังจะโชว์ออกมาทางสีหน้าแววตาหรือทางร่างกายของเรา ก็เลยพยายามไม่เครียด ไม่กดดัน คิดว่าเราจะไปแบบเอ็นจอย กับการแต่งหน้าทำผม แต่งตัว เอ็นจอยกับการเดิน การเจอเพื่อนๆ ทุกคน กลัวอยู่อย่างเดียวคือกลัวรวบผมตัวเองได้ไม่เรียบค่ะ (หัวเราะ) แต่อย่างอื่นเรารู้สึกว่าก็ไว้ไปแก้ไขปัญหากันหน้างาน
เตรียมพร้อมรอบด้าน เพื่อความฝันและมงกุฎ
ทุกด้านเลยค่ะ เพราะว่าตอน Miss Universe Thailand 2024 เราก็เตรียมพร้อมมาระดับหนึ่ง แต่ว่าพอต้องไปเวทีนอก เรารู้สึกว่าเราไม่อยากจะเตรียมพร้อมอะไรแค่อย่างเดียว อยากเตรียมทุกอย่างไปให้พร้อมที่สุด ให้ตัวเองพร้อมสู้ที่สุด พอไปถึงตรงจุดนั้นทุกอย่างที่เราเตรียมมา ถึงเวลาจะต้องใช้ก็จะได้ดึงออกมาใช้ได้เลย
ความจริงเน้นการเดินเยอะมากค่ะ เพราะว่าเราไปถิ่นลาตินด้วย ในการจะเข้ารอบไปถึงการตอบคำถามหรือรอบไหนก็แล้วแต่ ความประทับใจแรกที่คนจะเห็นเราบนเวทีหรือแม้กระทั่งการเก็บตัวที่คนมาดูแล้วจะเห็นเราก็คือบุคลิกภาพ การเดิน รวมถึงการตอบคำถาม และมายด์เซ็ตต่างๆ ด้วย ที่เราจะต้องไปใช้ที่นู่น ที่ฝึกซ้อมมาทั้งหมดเป็นการฝึกซ้อมที่วิเคราะห์จากตัวเองด้วย ว่าเราต้องเติมตรงไหน เรามีปัญหาอะไรบ้าง รวมถึงมีคุณครูผู้เชี่ยวชาญมาสอน ฟีดแบ็คจากแฟนคลับเราก็ฟังเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนที่เห็นเราจากอีกมุมนึง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องเกิดจากตัวโอปอลเองด้วยว่าเรามองเห็นข้อผิดพลาดอะไรของตัวเองแล้วอยากจะพัฒนาตรงไหน แล้วก็จะเป็นเรื่องความรู้รอบตัว การเมือง กฎเกณฑ์ ที่เราต้องใช้ในการตอบคำถาม ส่วนในเรื่องการซ้อมตอบ โอปอลกับทีมรวบรวมคำถามเก่าตั้งแต่ปี 1990 แล้วมานั่งทำด้วยกันเพื่อที่เราจะได้รู้ว่า ที่ผ่านมาเขาปูแนวทางมาอย่างไร แล้วถ้าเป็นเรา เราอยากจะตอบแบบไหน อีกส่วนคือก็ต้องดูด้วยว่าปีนี้เขาเน้นเรื่องอะไรค่ะ
ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตเราเครียดทุกอย่างไปก่อนเยอะแล้ว เรารู้สึกว่าเราเบื่อกับการที่สมองมันคิดไปก่อน ทั้งที่ทุกอย่างมันยังไม่ได้เกิดขึ้น โอปอลเลยรู้สึกว่าโอกาสนี้ก็เป็นโอกาสดีในการที่เราจะเปลี่ยนนิสัยเรากับเรื่องที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลย แต่เรากังวลไปก่อนแล้วว่ามันจะออกมาไม่ดี
ความจริงมันมีหลายๆ ปัจจัย สำหรับโอปอลบนเวทีแบบนี้มันรู้สึก Overwhelmed (กดดัน) เพราะว่าคนเยอะมากๆ เสียงดังมาก แล้วทุกสายตาจับจ้องมาที่เราที่ยืนอยู่บนเวทีมีสปอร์ตไลท์ส่องมา มันมีความกดดัน มีความตื่นเต้นที่เราต้องควบคุมให้ได้ บางทีเราอาจจะเตรียมทุกอย่างไปเยอะมาก แต่พอถึงหน้างานถ้าเราไม่มีสติเราก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ โอปอลเลยรู้สึกว่าที่ผ่านมารุ่นพี่เราก็ทำเต็มที่แล้วเหมือนกัน แต่อย่างที่โอปอลบอกมันอาจจะมีแฟคเตอร์หลายๆ อย่างที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ แต่ปีนี้ก็ต้องลุ้นเหมือนกันว่าวันนั้นโอปอลจะทำได้ออกมาดีแค่ไหน ต้องดูว่า ณ จุดๆ นั้น สถานการณ์เป็นยังไง ควบคุมสติได้มากน้อยแค่ไหน ทุกอย่างที่เราเตรียมมามันตรงกับที่เขาถามหรือเปล่า
โอปอลรู้สึกว่าการที่พี่แอนโทเนียไปถึงรองอันดับ 1 ได้จับมือ มันเหมือนเป็นใบเบิกทางให้รุ่นน้องปีต่อๆ ไปมากกว่า ด้วยมรดกที่เขาทิ้งไว้ที่มิสยูนิเวิร์ส คือประเทศไทยได้รับการสนใจมากขึ้น ว่าผู้หญิงไทยมีศักยภาพ ไม่ใช่แค่สวยภายนอก แต่ภายในก็สวย แถมยังมีศักยภาพ มีความสามารถด้วย มันทำให้ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสนใจมาที่เรามากขึ้น เพราะฉะนั้นมันหมายความว่าในปีต่อๆ ไป ไม่ว่ารุ่นน้องเราจะมีศักยภาพด้านไหน มีความสามารถด้านไหน หรือว่ามีจุดเด่นอะไร เขาจะได้แสดงสิ่งนั้นของตัวเอง แล้วต่างชาติจะเห็นมากขึ้นเพราะว่าเราได้รับใบเบิกทางจากรุ่นพี่ ไม่ใช่แค่พี่แอนโทเนียด้วยซ้ำ ปีก่อนๆ พี่แนทเปิดประตู มันทำให้แสงส่องมาที่ประเทศไทย แล้วโอปอลรู้สึกว่าถ้าเรามองเป็นความกดดันมันก็จะไปไม่ถึงค่ะ แต่ถ้าเรามองว่ามันคือโอกาสมันอาจจะไปถึงมงเลยก็ได้
รับฟังทุกคำวิจารณ์ ส่วนดีพัฒนาแต่ถ้าไม่ดีต้องปล่อยวาง
สำหรับโอปอล รู้สึกว่าน้อยมากนะ ถ้าเทียบกับพี่ๆ ในทีม เพราะบางคนเขาอ่านคอมเมนต์แล้วเขาก็มีความเครียดหรือกังวลบ้าง โอปอลก็จะบอกเสมอว่าอย่าไปคิดเยอะ เพราะเราเองก็เจอมาในระดับหนึ่ง สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนมีจิตใจ ถ้าเกิดว่ามีคนมาพูดแย่ใส่เรา เราก็ต้องรู้สึกอะไรอยู่แล้ว แต่อย่างที่โอปอลเคยพูดตลอดว่าเราทำความเข้าใจกับเขาว่าทุกคนมีสิทธิ์จะชอบและไม่ชอบ ทุกคนมีความคิดของตัวเอง แล้วโอปอลเคารพความคิดของโอปอล เคารพความคิดของคนอื่น เพราะฉะนั้นคุณอยากจะคิดอะไร คุณคิดไป แต่ว่าขอแค่สิ่งที่คุณคิดมันเป็นสิ่งที่ถูก มันเป็นข้อมูลที่เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ว่าคุณเอามาทำให้คนอื่นเสียความรู้สึกหรือคำพูดจาอะไรที่มันมากเกินไป ส่วนใหญ่จะเห็นแล้วแค่รู้สึกว่า ใช่หรอ? เพราะว่าบางคนเขาก็คอมเมนต์โดยที่เขาไม่ได้รู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับตัวเราเลย แต่เราก็พัฒนาตัวเองให้ทุกคนเห็น
แต่สุดท้ายแล้วโอปอลรู้สึกว่าโอปอลอยู่เฉยๆ ของโอปอล คนก็บอกว่าเนือย แต่พอโอปอลพยายามพัฒนาตัวเองให้ถูกใจทุกคน เขาก็บอกว่าโอปอลเฟค โอปอลเลยรู้สึกว่ามันถึงจุดที่อยู่แบบปกติของโอปอลเขาก็ไม่ชอบ เป็นแบบที่เขาชอบเขาก็หาว่าโอปอลปลอม ก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว
ทุกความเห็น ทุกคอมเมนต์ เราก็รับหมดนะคะ คำที่มันเป็นวิพากษ์วิจารณ์ถ้าเรารู้สึกว่าเอามาปรับใช้แล้วมันเกิดประโยชน์ เราก็รับมาแล้วก็พัฒนาตามที่เขาแนะนำ แต่ว่าอะไรที่เรารู้สึกว่ามันอยู่บนพื้นฐานความอคติ หรือการวิพากษ์วิจารณ์โดยไร้เหตุผล เราก็ปล่อยไว้ตรงนั้น ส่วนอะไรที่เป็นประโยชน์เราก็ให้ทีมรวบรวมมาแล้วก็มานั่งวิเคราะห์กันว่าจะทำยังไงให้ไปในทางที่เขาแนะนำ
"ทำให้เต็มที่ อะไรที่เกินควบคุม..ช่างมัน" คำแนะนำจากรุ่นพี่ MUT
ส่วนใหญ่พี่ๆ จะบอกว่า..โอปอลจะพูดในคำสุภาพก็คือก็ช่างมัน พี่ๆ ทุกคนบอกว่าพอไปถึงจุดนั้น ไม่อยากให้เรากังวลอะไร ไม่อยากให้คิดอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ปล่อยทุกอย่างเอาไว้ที่นี่ ทุกความกดดัน ความเครียด ความคาดหวัง เอาไปแค่ความหวังก็พอ แล้วทำทุกอย่างให้เต็มที่ เอ็นจอย เดินแบบที่อยากเดิน ใส่เสื้อผ้าแบบที่อยากใส่ เป็นแบบที่อยากเป็นที่ตัวเองอยากจะเป็น แล้วทุกอย่างมันจะโอเค ถึงจุดนั้นที่เราไม่รู้ว่าเราจะไปไกลถึงจุดไหน มันโอเคแล้วแฮปปี้แล้ว เพราะว่ามันคือการที่เราไปเป็นตัวเอง อันนี้ที่พี่ๆ ส่วนใหญ่แนะนำ
สิ่งที่เรียนรู้จากมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์
ความฝันนางงามยังคงอยู่ แต่ฝันนั้นใหญ่ขึ้น
สิ่งหนึ่งที่โอปอลเรียนรู้จากการเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ อันนี้เราก็มานั่งคิดเพราะมีช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกเหนื่อยมาก จนรู้สึกสูญเสียว่าตอนนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ทำไปเพื่อใคร ความฝันในการเป็นนางงามจักรวาลมันยังเหมือนเดิมค่ะ เพราะเป็นความฝันที่โอปอลอยากเป็นตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว แต่ตอนเด็กๆ เราฝันเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ อยากทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริง แต่ว่าพอเรามาอยู่จุดที่ตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศ มันไม่ใช่แค่โอปอลแล้ว มันไม่ได้รู้สึกว่าฉันอยากทำเพื่อให้ชีวิตฉันดีขึ้นหรือฉันอยากทำเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ แน่นอนชีวิตโอปอลจะต้องเปลี่ยนไป ถ้าเกิดว่าโอปอลได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส แต่ว่าความรู้สึกนั้นมันน้อยกว่าการอยากให้ความฝันของคนไทยเป็นจริงค่ะ
เคยมีคนถามโอปอลว่า ทำไมคุณถึงอยากเป็นมิสยูนิเวิร์ส โอปอลก็บอกว่าตอนเด็กๆ ฉันเคยอยากเป็นเพราะฉันรู้สึกว่าฉันเป็นแล้วฉันคือคนสวย ฉันประสบความสำเร็จในชีวิต แต่พอฉันมาเป็นจริงๆ ฉันไม่ได้อยากเป็นเพื่อตัวเอง ฉันอยากเป็นเพื่อคนของฉัน แล้วเขาก็ถามว่าใครคือคนของเธอ โอปอลก็บอกว่าคนไทยทุกคนไง เพราะว่าเรารู้ว่าความฝันนี้คือมันเป็นความฝันที่มันแชร์กันสำหรับคนทั้งประเทศ เรารอมา 36 ปี แล้วมันไม่ใช่แค่โอปอลที่อยากได้ เผลอๆ มันมีคนที่อยากได้มากเท่าๆ กับโอปอลด้วยซ้ำ แต่เขาอาจจะไม่ได้ยืนอยู่จุดที่เป็นคนจะไปคว้ามันมา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำตรงนี้ให้เขา แล้วทำแบบที่เรามีความสุขที่จะทำ
อย่างโอปอลทำโครงการ Opal for Her ใช่ไหมคะ สร้างความตระหนักรู้แล้วก็ระดมทุนสำหรับมะเร็งเต้านม ตอนแรกเราก็ไม่เชื่อเวลาคนพูดว่าเป็นนางงามแล้วมันเสียงใหญ่ขึ้น แพลตฟอร์มนั่นนี่ เราไม่เคยอินกับคำว่าแพลตฟอร์มของการประกวดนางงามเลย เพราะเราไม่เคยสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่าแพลตฟอร์มคืออะไร แล้วมันใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง จนกระทั่งเรามาเป็นเอง ตอนแรกโอปอลไม่กล้าทำโครงการนี้ด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จบ้าง ไปได้ไม่ไกลบ้างหรือว่าไม่มีอิมแพ็คบ้าง แต่พอเรามาทำตรงนี้แล้วเราเห็นว่ามันไม่ใช่แค่คนไทยที่ติดตามโครงการของเรา แล้วเขารู้สึกว่ามันมีประโยชน์กับชีวิตของเขา คือแฟนคลับต่างชาติคือคนรอบข้างของเราด้วย เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่าการเป็นนางงามมันให้โอกาสในหลายๆ อย่าง รวมถึงในเรื่องของการช่วยเหลือสังคม การสร้างความตระหนักรู้ต่างๆ จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน อยู่ที่ตัวคุณว่าคุณจะเอาไปใช้หรือเปล่า ถ้าเกิดว่ามีแพลตฟอร์มอยู่ในมือแล้วไม่ได้ใช้ มันก็ไม่ได้สร้างอะไรกับสังคม แต่ถ้ามีแล้วเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดอย่างที่โอปอลกำลังพยายามจะทำอยู่ มันก็แสดงให้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ
ฝากทุกคนเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ปีนี้โอปอลแล้วก็ทีมไม่ว่าจะเป็นกองไทยแลนด์หรือว่าทีมของโอปอลทุกคนเต็มที่มากๆ แล้วเราก็เทรนมาอย่างหนักเตรียมพร้อมอย่างหนักหน่วง เพื่อที่จะไปถึงเม็กซิโกแล้วเราทำทุกอย่างให้เต็มที่ ออกมาดีที่สุด แล้วทำให้คนไทยทุกคนภูมิใจ ก็ฝากทุกคนส่งกำลังใจแล้วก็คอยเชียร์อยู่ด้วยนะคะ วันที่ 17 พฤศจิกายน ตอนเช้า เวลาประเทศไทยนะคะ มาลุ้นมงสามไปด้วยกันค่ะ