จากกรณีกลุ่มผู้ปกครองของนักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งย่านราชพฤกษ์ ส่งคลิปวงจรปิดในห้องเรียนของบุตรหลานมาให้กับทีมข่าว โดยระบุว่าบุตรหลานถูกคุณครูใช้ความรุนแรง และเข้าแจ้งความเรียบร้อยแล้วนั้น ล่าสุดวันที่ 26 ก.ย. 63 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จ.นนทบุรี มีการออกแถลงการณ์ไล่ออกครูจุ๋มแล้วนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ใจแทบขาด! ครูอนุบาลจิกหัวตบเด็กหน้าคว่ำ พ่อเด็กฉะป่วยจิต แฟนหนุ่มบอกใจดีอ้างตีเพราะดื้อ
- เปิดใจ "ครูจุ๋ม" สำนึกผิดตบเด็ก อ้างเครียดแม่ป่วย ท้ออยากตาย ถามแค่นี้เลวเหรอ?
ล่าสุดวันที่ 27 ก.ย.63 ครูจุ๋ม ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ผ่านทางโทรศัพท์ โดยระบุว่า ตอนนี้ตนเครียดอย่างหนัก ทั้งเรื่องคดี อีกทั้งยังถูกกระเเสสังคมโจมตีอย่างหนัก ซึ่งส่วนตัวก็อยากไปขอโทษผู้ปกครอง เเต่คิดว่าผู้ปกครองเด็กคงไม่อยากฟังคำขอโทษ เพราะสิ่งที่ตนทำลงไป คงไม่มีใครให้อภัย จึงจะขออยู่เงียบ ๆ เคลียร์เรื่องคดีความก่อน
ส่วนกรณี ทนายรณรงค์ เเก้วเพชร เดินทางไปที่ สน.ราชพฤกษ์ ขอให้ตำรวจให้เพิ่มข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว กรณีขังเด็กในห้องน้ำ พร้อมทั้งให้เอาผิดครูคนอื่นในห้อง ฐานไม่ห้ามปรามนั้น ในส่วนข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว ตนไม่กลัว เพราะไม่เคยขังเด็กในห้องน้ำ
ส่วนเรื่องเเจ้งความเอาผิดครูคนอื่น เรื่องนี้ครูคนอื่นไม่รู้เห็นด้วย ดังนั้นตนขอรับผิดเเต่เพียงผู้เดียว หากจะโดนข้อหาอะไร ก็พร้อมรับผลที่จะตามมา
เเต่ยืนยันว่าไม่เคยข่มขู่ครูในห้อง เเละไม่เคยข่มขู่ใครว่าไม่ให้พูดเรื่องดังกล่าว คนอย่างตนจะไปขู่ใครได้ ตนไม่ได้มีอิทธิพลที่จะให้ใครทำตามได้ ส่วนที่สังคมโจมตี ตนก็คงพูดอะไรไม่ได้ ยอมรับผิดเเล้ว
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับหนึ่งในผู้ปกครอง ที่ลูกถูกครูจุ๋มทำร้าย โดยน.ส.จันทิมา ธงศรี เเม่น้องเอ็นเจ เล่าว่า ลูกชายเรียนอยู่ที่โรงเรียนดังกล่าว ตั้งเเต่ชั้นเตรียมอนุบาล จนปัจจุบันอยู่ชั้นอนุบาล 1 ก็ยังไม่มีอาการผิดปกติเเต่อย่างใด จนกระทั่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ลูกชายเริ่มมีอาการเเปลก ๆ ทุกเช้าที่เเม่ปลุกให้ไปโรงเรียนจะร้องไห้ พร้อมกับยกมือไหว้ เเล้วพูดว่า "ไม่ไปได้ไหม" เเล้วก็ร้องไห้ตลอดเวลา เเม้กระทั่งบนรถก็ร้อง เเต่เมื่อไปถึงหน้าโรงเรียน ลูกหยุดร้องทันที เหมือนกับหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ทั้งนี้ตนก็เเปลกใจว่าลูกไปเรียนที่ดังกล่าวมาเป็นปี ไม่เคยงอเเง เเต่เหตุใดจึงร้องไห้ไม่อยากไป นอกจากนี้พฤติกรรมลูกก็เปลี่ยนไป บางครั้งก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาจนเทำให้ตนรู้สึกตกใจ ตนก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ลูกเป็นอยู่เกิดจากอะไร กระทั่งต้นเดือน ก.ย.63 ลูกเริ่มฟ้องว่าเพื่อนในห้องถูกครูจุ๋มทำร้าย ตนก็ถามลูกว่า "เเล้วเอ็นเจโดนไหม" ลูกก็ตอบว่า "โดนครับ ผมโดนตี" ตนก็ถามลูกว่า "เจ็บไหม" ลูกก็ตอบเเบบกลัว ๆ ว่า "ไม่เจ็บ" ซึ่งจากคำบอกเล่าของลูก ตนเริ่มเอะใจ เพราะที่ผ่านมาลูกไม่เคยโกหก
จากนั้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ปกครองท่านอื่น ๆ ได้ส่งไฟล์กล้องวงจรปิดเข้ามาในกลุ่มไลน์ ตนก็นั่งไล่ดูกล้อง เเล้วตัดเป็นคลิปให้ผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก็ตกใจมาก ไม่คาดคิดว่าครูจุ๋มจะมีพฤติกรรมแบบนี้ อีกทั้งมาทราบภายหลังว่าครูจุ๋มจบเเค่ ม.6 ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ก็ยิ่งเสียความรู้สึก
ในตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณา ว่าจะให้ลูกเรียนที่เดิมหรือไม่ อยู่ที่ผู้บริหารโรงเรียนว่าจะมีมาตรการอย่างไร หากยังใช้บุคลากรที่ไม่มีคุณภาพ เหตุการณ์ก็คงจะเกิดขึ้นอีก เเม่ก็คงต้องให้ลูกย้ายโรงเรียน เพราะเท่าที่ทราบก็ไม่ใช่ครูจุ๋มคนเดียวที่ทำร้ายเด็ก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ตนกำลังหาคลิปวงจรปิดที่ลูกถูกทำร้าย หากพบก็จะนำไปเเจ้งความทันที เเละจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
ทีมข่าวสอบถาม นายกองพล โสดา พ่อน้องคาราเมล อายุ 3 ขวบ 5 เดือน นักเรียนผู้เสียหายอีกคน เปิดเผยว่า ลูกสาวตนมีอาการเพ้อบ่อยครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งมามีเรื่อง ซึ่งอาการเพ้อล่าสุด คือเกิดขึ้นช่วงตี 4 เช้าวันนี้ โดยลูกสาวนอนหลับและเพ้อว่า “อย่าเอากระเป๋าหนูไป ๆ กระเป๋าของหนู” ซึ่งตนก็ถามลูกขณะหลับเลยว่า ใครเอาไป ลูกสาวตนก็ตอบแบบหลับ ๆ ว่า "ทิชเชอร์จุ๋ม" ซึ่งก็ค่อนข้างมีความชัดเจน
นอกจากนี้ตนไปดูกล้องวงจรปิด ก็พบว่า ครูจุ๋มมีการใช้นิ้วมือ สะกิดหัวลูกสาวตนจนกระทั่งหัวโยก ซึ่งมันเป็นวิธีที่รุนแรงกับเด็ก อีกมีลักษณะการรัดผมให้ลูกสาวตน โดยดึงจนหัวโยก และมีช่วงหนึ่งที่ไม่รู้ใช้เท้า มือ หรือดึงหัว ในการจับหัวลูกตนและดึงไปมาที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเด็กถึงขั้นเก้าอี้ขยับ
ส่วนตัวมองว่าเป็นไปได้ที่ลูกตนอาจจะถูกกระทำมากกว่านี้ แม้กระทั่งก่อนหน้านี้ตนเคยเห็นลูกมีรอยเหมือนถูกเล็บหยิกที่แผ่นหลังลูก ก็ไม่ได้คิดอะไร ตนคิดว่าคนที่จะต้องออกมารับผิดชอบคือทุกส่วน ตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียน จนถึงคุณครูคนก่อเหตุ ซึ่งมารู้ภายหลังว่าไม่มีใบประกอบวิชาชีพ เป็นเด็กร้านสะดวกซื้อ
ตนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าเลือกที่ที่ดีแล้ว ตนยืนยันว่าคงต้องย้ายโรงเรียนให้ลูกแน่นอน เพราะหากให้ลูกอยู่ต่อไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้ก็ถูกเมินเฉยกับเรื่องที่เกิดขึ้น มันไม่คุ้มกับที่ตนจ่าย ตอนนี้ตนหมดความน่าเชื่อถือกับโรงเรียนแล้ว เพราะตอนนี้โรงเรียนยังไม่ได้เปิดวงจรปิดให้ดูทั้งหมด รวมถึงห้องอื่น ๆ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าครูก่อเหตุแบบนี้กับใครบ้าง ก่อเหตุนานแค่ไหน
นายกองพล ยังส่งคลิปวงจรปิดพฤติกรรมครูคนอื่น ที่แจกสมุดให้เด็กอนุบาลด้วยการโยน บางช่วงถึงกับร่อนแจก ซึ่งมองว่าไม่เหมาะสม
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับผู้ปกครอง ซึ่งอ้างว่าลูกสาวก็เคยถูกครูโรงเรียนดังกล่าวทำร้ายร่างกายเช่นกัน โดยนางรจนา เเก้วคำ อายุ 48 ปี เเม่ของน้องผักบุ้ง เปิดเผยว่า เมื่อต้นปี 63 ที่ผ่านมา ตอนนั้นลูกสาวอายุ 12 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.6 ถูกครูผู้ชายชื่อว่า "ครูเเจกกี้" เป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ ทำร้าย
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 11 ม.ค.63 เวลาประมาณ 10.00 น. ลูกสาวได้เล่นกับเพื่อนในห้องเรียน เเล้วครูเเจกกี้ก็เดินมาตบหน้าลูกสาว เเล้วยังจิกหัวไปตบโชว์หน้าชั้นเรียน จากนั้นลูกสาวพยายามวิ่งหนีไปหาครูอีกคนที่อยู่ห้องข้าง ๆ กัน เเต่ครูเเจกกี้ก็ยังตามไปตบต่อ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่รุนเเรงมาก ตอนนั้นลูกสาวอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างหนัก เเต่ก็ไม่ได้รับการเยียวยาหรือรับผิดชอบใด ๆ จากทางโรงเรียนเลย
หลังจากนั้นครูใหญ่ได้นัดไปพูดคุย เเล้วบอกว่าได้ไล่ครูคนดังกล่าวออกไปเเล้ว ไม่สามารถติดต่อครูคนดังกล่าวได้ ตนจึงเดินทางไปเเจ้งความไว้ที่ สภ.ราชพฤษ์ ในวันที่ 19 มกราคม 63 เเต่ก็ลูกสาวยังหวาดกลัว ไม่ยอมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล จึงไม่มีหลักฐานประกอบจากเเพทย์ เเล้วหลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป ตอนนั้นตนก็ได้คิดเเละหวังอยู่ในใจว่าอยากให้กรณีของลูกเรา เป็นเคสสุดท้าย
กระทั่งล่าสุดมีข่าวครูจุ๋ม ตนยิ่งรู้สึกไม่ดีกับโรงเรียนนี้ เหตุใดโรงเรียนจึงไม่คัดกรองบุคลากร หากยังมีครูเเบบนี้ในโรงเรียน ก็คงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจุบันลูกสาวของตนได้ย้ายโรงเรียนเเล้ว ตอนนี้อยู่ชั้น ม.1 เเต่ก็ยังมีอาการหวาดกลัวอยู่ เพราะหลังจากเห็นข่าวครูจุ๋ม ลูกสาวพูดว่า "กลัว" เเละเรื่องราวทั้งหมด ก็ยังเป็นบาดเเผลในใจคนเป็นเเม่ เพราะพฤติกกรมดังกล่าวเป็นการทำให้เด็กมีปม
ทีมข่าวสอบถาม นางกัญชรินรัศตน์ ภูเลาสิงห์ แม่น้องเสือ ซึ่งเป็นครอบครัวแรกที่เริ่มไปขอกล้องวงจรปิด เปิดเผยว่า หลังจากที่ครอบครัวไปขอวงจรปิดเพิ่ม ปรากฏไม่ได้เจอพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะครูจุ๋ม แต่มีครูต่างชาติเป็นครูผู้ชาย ก็ทำแบบนี้ด้วย
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุวันที่ 21 ก.ย.63 ซึ่งครูผู้ชาย ชื่อมาวิน ชาวอินโดนีเซีย เข้ามาหาลูกชาย และทำทีเหมือนมากระชาก และลากลูกชายออกจากห้องไป นอกจากนี้ยังมีการผลัก และพาลูกตนไปนอกห้อง ซึ่งเป็นทางไปห้องน้ำ
ทั้งนี้ตนมาถามลูกภายหลังจากเห็นคลิป ลูกบอกว่าเหตุการณ์นี้ครูพาไปห้องน้ำ พาไปที่กลัวผี ไปขังในห้องน้ำ และลูกก็ถูกตี เหตุการณ์นี้ตนคิดว่าไม่ใช่แค่ครูคนเดียวที่ก่อเหตุ ทำให้ตนตัดสินใจย้ายโรงเรียนให้ลูกแน่นอน ตนไม่กล้าให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม ต้องมาเจอเรื่องเดิมๆอีก
อย่างไรก็ตาม วันนี้ท่านรัฐมนตรีมาติดตามเรื่อง ตนก็สบายใจ มั่นใจขึ้น แต่ตอนนี้ไม่มั่นใจโรงเรียนอีกแล้ว
ทีมข่าวสอบถาม นางสรสนา ลอยเวหา แม่ของน้องคีโน่ เปิดเผยว่า ก่อนที่ตนจะเห็นคลิป วันที่ 23 ก.ย.63 ตนไปรับลูกชายที่โรงเรียน วันนั้นลูกชายก็เดินเข้ามาโผกอดตน และก็ร้องไห้เลย ซึ่งลูกไม่เคยเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เรียนเตรียมอนุบาลกับที่โรงเรียนนี้มา 1 ปีแล้ว
วันนั้นจึงเป็นวันที่แปลก ตนก็เลยสอบถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น ครูจุ๋มก็ปรี่มาหาตนทันที โดยระบุกับตนว่า วันนี้ลูกชายตนปีนโต๊ะ และครูตกใจ เลยดุน้องไป ไม่ได้ตีน้อง ตอนนั้นน้องอยู่คนเดียว ทำให้ครูตกใจ ไม่ได้ตีน้อง ตนก็พยายามปลอบลูกชาย
ตนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เสียใจตั้งแต่เห็นลูกคนอื่นโดนกระทำ ตนยังคิดว่าครูคนนี้ก่อเหตุได้กับเด็กทุกคน ดังนั้นลูกตนไม่น่าจะรอด ตนจึงมั่นใจว่าลูกตนต้องถูกกระทำแน่นอน ตนยอมรับว่าตนมาซื้อสังคมให้ลูก ยิ่งทำให้ตนเสียใจมาก ๆ ยืนยันว่าจะให้ลูกลาออก ไม่ให้เรียนที่นี่ ไม่เอาโรงเรียนในเครือนี้อีกเลย เพราะตนไม่ไว้ใจ
ส่วนเรื่องกฎหมายต้องดำเนินการกันต่อไป ตนยอมรับว่าครอบครัวจิตตกมากเวลาเห็นคลิป ซึ่งคนในครอบครัวต้องลุ้นว่า เวลาครูเดินผ่านลูกตน จะแวะตีหรือไม่ ตนคิดว่ายังมีเหตุการณ์อื่น ๆ อีกที่ตนไม่เห็น โดยเฉพาะที่ห้องน้ำ ที่ลูกน่าจะต้องถูกตี เพราะเด็กหลายคนก็โดนเช่นกัน
ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ทีมข่าวติดต่อกลุ่มผู้ปกครองของนักเรียนผู้เสียหาย มารวมตัวเพื่อพูดคุยกับถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยกลุ่มผู้ปกครองมากกว่า 10 ครอบครัว เดินทางมาที่ร้านอาหารย่านราชพฤกษ์ จากนั้นไม่นาน ดร.กนกวรรณ ก็เดินทางมาถึง ก่อนเข้าไปห้องพูดคุย ดร.กนกวรรณ ได้เข้ากอดกับแม่ณัฐมนกาญจน์ หรือ แม่น้องรีวิว ซึ่งเป็นหนึ่งในอแม่ผู้เสียหาย โดยระบุว่า วันนี้ตนมารับฟังปัญหา มาเป็นกำลังใจ และมาในฐานะหัวอกคนเป็นแม่ ที่จะต้องมาจัดการเรื่องนี้ จากนั้นก็ขอเข้าไปพูดคุยให้ห้องเป็นการส่วนตัว
หลังจากการพูดคุยราว 1.30 ชม. ดร.กนกวรรณ ออกมาให้สัมภาษณ์ ระบุว่า ในฐานะตัวแทนของรัฐบาล และเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลโรงเรียนเอกชนโดยตรง จึงมีความห่วงใยกับปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทั้ตนก็มีลูก จึงเข้าใจความรู้สึกของแม่
ดร.กนกวรรณ ระบุว่า ตนยืนเคียงข้างความถูกต้อง ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการเข้าข้างโรงเรียน โดยหลังการพูดคุยตอนนี้มีการนัดหมาย 09.00 น. จะมีการนัดพูดคุยกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ปกครองเด็ก ทางโรงเรียน ที่จะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยนัดที่กระทรวงศึกษาธิการ ตนต้องการยุติเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งครั้งนี้ทางตนยังไม่ได้รับรายงานจากศึกษาธิการจังหวัด แต่ตนทนรอไม่ได้ จึงต้องลงมาดำเนินการเอง
สำหรับการพูดคุยกับผู้ปกครอง พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ปัญหานี้ เรื่องนี้มีปัญหาอีกหลายมิติ ทั้งปัญหาที่โรงเรียนไม่เคยเรียกประชุมผู้ปกครอง ไม่แจ้งเวลาเปลี่ยนครูประจำชั้น ทำให้ผู้ปกครองไม่ทราบว่าใครเป็นครูประจำชั้น
หลังจากนี้ทางกระทรวงจะมีการตั้งทีมงานในการตรวจสอบหลักเกณฑ์การรับครูผู้ช่วยของโรงเรียน จะตรวจสอบการดำเนินการสอนเด็ก ตรงกับที่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองหรือไม่ รวมถึงปัญหาอีกเรื่องคือทางกระทรวง จะเป็นธุระการดำเนินการทำเรื่องย้ายโรงเรียนสำหรับผู้ปกครองที่ต้งอการย้ายบุตรหลาน เพื่อให้ได้รับความสะดวกในการเข้าเรียนที่ใหม่ รวมถึงมาตการตรวจสอบครูต่างชาติที่โรงเรียนรับมาทำงานด้วยว่า แจ้งต่อกระทรวงหนือไม่
ส่วนบทลงโทษก็มีตามขั้นตอน ทั้งโทษอาญากับผู้ทำผิด ส่วนครูหากมีใบประกอบวิชาชีพและพบมีความผิดก็จะเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพ ส่วนโรงเรียนต้องตรวจสอบ บทลงโทษก็มีตั้งแต่สั่งหยุดรับสมัครเด็ก จนถึงการปิดสถานศึกษา โดยทุกอย่างต้องดูข้อเท็จจริง และทำให้ผู้ปกครองสบายใจที่สุด