จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก เจ๊ม้อย v+ ได้โพสต์ภาพพร้อมบรรยายข้อความกรณีเด็กชายทิวนอนป่วยที่โรงพยาบาล ข้อความระบุว่า ครั้งนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่จำไปจนตาย วันพุธ-ศุกร์ ที่ผ่านมาได้พาลูก เข้ารักษาที่โรงพยาบาล เนื่องจากลูกมีไข้ ถ่ายเหลว และอ้วกบ้าง บางวันกินไม่ค่อยได้ หมอวิฉัยว่าเป็น "ลำไส้อักเสบ" ให้น้ำเกลือกินยา แต่ก็ไม่ดีขึ้น จึงตัดสิ้นใจปฎิเสธการรักษา แล้วย้ายมารักษาต่อที่ โรงพยาบาลเด็ก ขณะนั้นลูกไม่มีอาการดีขึ้น มีแต่แย่ลง ทางแพย์จึงได้นำ ฉี่ อุจจาระ เลือด ของลูกไปตรวจ ผลสรุปต้องรีบผ่าตัดด่วน เพราะไส้ติ่งแตก จนมีหนอง
วันที่ 25 ต.ค. 63 นางสมพร คุ้มพันธ์ อายุ 20 ปี แม่ของเด็ก เผยว่า ลูกชายของตนเองคือน้องทิว อายุ 2 ขวบ วันที่ 19 ต.ค.63 ลูกชายได้เดินไปเตะกับเหล็กบริเวณประตูหน้าบ้านที่มีสนิม ตอนแรกตนเองก็ไม่ได้เอะใจ เนื่องจากลูกชายเป็นแผลบริเวณนิ้วเท้านิดเดียว กระทั่งกลางดึกลูกชายเริ่มมีไข้สูง ตนเองจึงไปซื้อยามาป้อนให้ แต่อาการไม่ดีขึ้น จากนั้นวันที่ 20 ต.ค.63 ลูกชายมีขับถ่ายเหลว บริเวณช่วงท้องแข็ง ตนเองก็ปล่อยดูอาการอยู่บ้าน 1 วัน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น
เช้าวันที่ 21 ต.ค.63 ตนจึงพาลูกชายไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ช่วงเวลา 16.00 น. การรักษาต้องมีค่าใช้จ่ายสูงทางโรงพยาบาลจึงแนะนำ ให้ตนเองใช้สิทธิ์บัตร 30 บาทที่โรงพยาบาลที่ลูกชายมีสิทธิ์อยู่ ตอนนั้นลูกชายมีไข้สูงถึง 39 องศา แพทย์ทำการตรวจเช็กสภาพร่างกายของลูกชาย เจาะเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ก่อนจะมีการมาจับที่บริเวณลำท้องของลูกชายที่แข็ง วินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบ ให้น้ำเกลือ ยาลดไข้ แก้ท้องเสีย แก้อาเจียน และให้นอนที่โรงพยาบาล 1 คืน
จากนั้น วันที่ 22 ต.ค.63 ช่วงเช้าอาการลูกชายก็ยังไม่ดีขึ้น เริ่มมีการถ่ายเยอะผิดปกติ 5 รอบ ไข้สูงขึ้นเรื่อย ๆ มีอาการไม่ดีขึ้น ตนจึงยกเลิกทำการรักษา เพื่อย้ายลูกชายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเด็ก (อนุสาวรีย์ชัยฯ) ตอนแรกทางโรงพยาบาลนี้ ไม่อนุญาตให้ลูกชายย้าย เนื่องจากแรงว่าลูกชายมีไข้สูง อาจเกิดอาการช็อกจนเสียชีวิต แต่ตนก็ตัดสินใจให้ลูกย้ายออกทันที ไปถึงโรงพยาบาลเด็ก 21.00 น. โรงพยาบาลตรวจวินิจฉัยอาการ ผลสรุปว่าต้องทำการผ่าตัดด่วน เนื่องจากลูกชายมีภาวะไส้ติ่งแตก อักเสบจนเป็นหนอง
ซึ่งหลังผ่าตัดตอนนี้อาการลูกชายก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังคงต้องใส่เครื่องเจาะบริเวณแผลที่ผ่าตัด หลังเกิดเหตุตนรู้สึกเสียใจ เสียความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคิดว่าหากตัดสินใจพลาดไม่ยอมพาลูกชายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเด็กก็อาจจะต้องเสียชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่ต้องให้ทางโรงพยาบาลดังกล่าวมารับผิดชอบ แต่อยากให้มีการปรับปรุงเรื่องการดูแลรักษาคนไข้ให้ดี ให้รอบคอบกว่านี้