เปิดใจทุกเรื่องราวเพราะอุ่นใจที่จะเล่าที่นี่ สำหรับคุณแม่คนสวยตลอดกาล "แอน สิเรียม" ที่ควงลูกสาว "นนนี่ นนลนีย์" มานั่งพูดคุยในฐานะแขกรับเชิญคนพิเศษใน Club Friday Show ซึ่งทั้งคู่ก็ได้เล่าเรื่องชีวิต พร้อมเคลียร์ทุกปัญหาที่ฝ่าฟันความเจ็บปวดที่ต่างคนต่างได้รับอย่างแสนสาหัส ทั้งเรื่องที่ลูกสาวโดนเปรียบเทียบไม่สวยเท่าคุณแม่ จนต้องไปอยู่ต่างประเทศ และความรักของแม่ที่เคยยอมทิ้งวงการ เพื่อไปดูแลลูก รวมถึงความรักที่คู่แม่ลูกคู่นี้มีให้กัน เป็นสิ่งที่โหยหามาทั้งชีวิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "อ๋อม สกาวใจ" เข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก จนเคยคิดฆ่าลูกพี่ลูกน้อง
- ล้วงชีวิต "นุ่น ดารัณ" เจอรักช้ำ ก่อนจะเจอรักแท้ที่อยู่ใกล้ตัวมาตลอด 20 กว่าปี
- เป็นเมีย "สุเทพ สีใส" เจอบูลลี่หนัก "เป็นผู้หญิงกลางคืนชัวร์ หน้าแบบนี้ ไม่มีเงินไม่เอาหรอก"
- รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก! "ศิรินทรา" สารภาพเคยแต่งงานกับผู้ชายมีเจ้าของ ถ้ามีลูกได้ 50 ล้าน!
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม สิ่งหนึ่งที่เราไม่อยากอยู่เมืองไทยเพราะโดนเอาไปเปรียบเทียบแม่ตลอดเวลา แต่พอไปอยู่ที่โน้น กระแสลดลงไหม
นนนี่ : ไม่ค่ะ เพราะ Instagram ของหนูตอนอยู่ที่โน้น ปิดเป็น private มันไม่มีการเข้ามาดูได้อยู่แล้ว แต่ว่าเขาเอาไปลงเป็นข่าว หรือตามเว็บอะไร เราก็จะไม่เข้าไปดู เพราะมันก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตเรา เราอยู่เมืองนอกแล้ว แต่ก็มีคนที่คอมเมนต์มาเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาของชีวิต เพราะคนที่คอมเมนต์เค้าสวยสู้เราได้หรือเปล่าเถอะ (หัวเราะ) เราก็คิดอะไรให้เป็น positive กับชีวิตของตัวเอง เพื่อไม่ให้เราดาวน์ เพราะเราเปลี่ยนอะไรคนไม่ได้อยู่แล้ว
ถาม การที่มีแม่เป็นดารารู้สึกไหมว่าเป็นแรงกดดันให้ลูก
คุณแม่แอน : ก็รู้สึกค่ะ รู้สึกตลอด เวลาอยู่ที่โน้นกับเขา แล้วเราถ่ายรูปด้วยกัน เวลาแอนโพสต์ นนนี่เขาก็จะมาบ่น แม่โพสต์รูปหนูอีกแล้ว เดี๋ยวก็มีคอมเมนต์มาอีก หนูไม่อยากถ่ายรูปกับแม่ เมื่อสมัยก่อนนะคะ เวลาเราถ่ายรูปเขาลงใน Instagram ของแอน ไม่ค่อยมีคอมเมนต์อะไร แต่พอเอารูปนนนี่ที่เราลง ไปลงข่าว คนก็เข้าไปคอมเมนต์ตรงนั้น ไม่ดี อ้วน อะไรแบบนี้ เราก็เตือนเขาว่าอย่ากินเยอะก็ไม่เชื่อ (หัวเราะ)
นนนี่ : ก็มันเป็นความสุขของหนู และอีกอย่างหนึ่งคือชอบมีข่าวว่าหนูท้องมาตั้งแต่ที่อายุ 13 งงมากจริงๆ ได้ยินว่าท้องมาตลอด คือเห็นว่าหนูมีพุง ก็ว่าหนูท้อง
ถาม แล้วเราเคยอธิบายไหม
นนนี่ : เคยออกมาพูดครั้งหนึ่ง แล้วเราก็ไม่ได้อธิบายเลย เพราะเราไม่ได้ใส่ใจ
คุณแม่แอน : แต่เราก็รู้สึกโกรธปุ๊บก็ไม่อยากจะพูดอะไรแล้วในยุคนั้น เป็นยุคที่แอนสับสนนะคะ เพราะถ้าเป็นในยุคนี้ ถ้าใครมีข่าวไม่ดี ก็จะจัดโต๊ะแถลงข่าวเลย แต่ในยุคของแอน มันเป็นช่วงที่ก้ำกึ่ง แล้วแอนเป็นคนที่ส่วนตัวมาตลอด ไม่รู้ว่าถ้าพูดไป จากคนที่ไม่สนใจอะไร จะยิ่งไปกันใหญ่หรือเปล่า เราก็เลยตัดสินใจเองว่าอยู่ของเราเงียบๆ ไปดีกว่า นนนี่เขาก็เลยรู้สึกว่าเบื่อที่นี่ ไม่อยากอยู่แล้ว
นนนี่ : อ้วนก็บอกว่าท้อง พอผอมก็บอกว่าแท้ง ถ้าเขาเชื่ออะไรไปแล้ว ถึงเราบอกความจริงยังไง เขาก็จะเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ
คุณแม่แอน : แต่เป็นข่าวที่แรงมากสำหรับเรา ณ วันนั้น เรารู้สึกแต่ก็ต้องพยายามเก็บความเจ็บปวด เก็บความเจ็บใจอันนั้นไว้ข้างใน ซึ่งใครเขาจะคิดอะไรก็ปล่อยเขาไป เราก็ให้อภัยเขา อย่างเรื่องของเราก็มีทั้งกอสซิปทั้งนินทา ไม่รู้จะทำยังไง ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้ จะร้องไห้ไปก็เท่านั้น ก็มีมาบ่นกับเขาแทนว่าทำไมไม่ทำให้ดีๆ จะได้สดใส เราก็พูดกับเขาตลอด จนเขาไม่อยากพูดกับเราแล้ว อะไรที่แม่บอก เขาไม่อยากทำ
ถาม ในความเป็นเด็กวัยรุ่น เริ่มต้นมีความรัก เริ่มต้นอกหัก ตอนนั้นปรึกษาคุณแม่ไหม
นนนี่ : ไม่คุย ไม่พูดเลยค่ะ เรารับมือเองหมด เราไม่ได้ประชดด้วยนะค แต่เพราะเราไม่อยากพูดด้วยค่ะ
นนนี่ : เรารู้สึกว่าแม่ไม่มีเวลามาฟังหรอก แต่เราไม่ได้มีความตั้งใจทำให้คุณแม่เจ็บปวดนะคะ เราอยู่ของเราได้ เพราะถ้าเป็นเรื่องความรัก เรารู้สึกว่าเราอาย เราไม่กล้าพูดกับที่บ้าน
ถาม แต่ในหลายๆ สิ่งที่นนนี่ทำทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว หลายๆ เรื่องมีผลต่อคุณแม่เยอะมาก ครั้งที่แล้วคุณแม่แอนมานั่งอยู่ในรายการนี้ ได้พูดถึงเหตุผลที่ช่วงหนึ่งทิ้งเมืองไทยไปเลย ไปอยู่ที่ต่างประเทศ จากประโยคไม่กี่ประโยคของนนนี่
คุณแม่แอน : ตอนนั้นคือวางทุกอย่างแล้วก็ไปอยู่ที่ต่างประเทศเพื่อเขาเลย เพราะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรจะทำไปเลยให้ดี
นนนี่ : เราก็ไม่ได้ตกใจที่คุณแม่ไป เพราะตอนนั้นเราก็อยู่โรงเรียนประจำ แล้วเราก็จะไปหาเขาได้แค่แบบศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เย็นก็กลับ แต่บางทีเราก็ไม่ได้ไปหาเขา เพราะอยู่โรงเรียนเราสนุก แต่คุณแม่เขามาหาเราเอง
คุณแม่แอน : เขาก็บ่นว่าเขาเหนื่อยนะ ต้องนั่งรถไฟมา แล้วก็ต้องนั่งรถไฟกลับไปเรียนอีกตั้ง 2 ชั่วโมง
ถาม แล้วนนนี่มาเข้าใจตอนไหนว่าคุณแม่งานเยอะจริงๆ
นนนี่ : มาเข้าใจช่วง 2-3 ปีหลัง เพราะเห็นแม่ทำงานทุกวันจริงๆ แล้วพอตอนนี้เรามาเป็นผู้จัดการให้คุณแม่ พอเห็นงานเขาแล้วเรารู้สึกว่าทำไมเก่งจัง ไม่หยุดเลย ทำงานทุกวัน เพราะเราจะถามคุณแม่ก่อนทุกงานที่รับว่าจะรับวันไหน วันนี้ไหม ยังไง ก็พยายามรับงานที่ไม่เหนื่อยมาก แม่ก็จะบอกว่าไม่ๆ แม่งก แม่จะเอาทุกงาน แต่ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาตามเวลาเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆ ก็ดูเหมือนไม่เข้าใจต่างๆ นานา แต่พอโตขึ้นด้วยการที่ได้เห็นกันมาเรื่อยๆ เลยทำให้เข้าใจ
ถาม แต่ก็มีอีกความสัมพันธ์ นนนี่แต่งงานแล้ว
นนนี่ : ใช่ค่ะ แต่งงานเลย เราเจอกันเขาตอนเรียนใกล้จบแล้ว เป็นปีสุดท้าย เราก็ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปทานข้าวกัน แล้วเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อน เขาก็เดินเข้ามาทัก ก็มาคุยกัน พอได้คุยก็ถูกใจ ก็ตกลงลองคบกันดู พอเราคบกันได้ 1 ปี แต่เราอยู่ที่โน้น จะไม่เหมือนเมืองไทย ชีวิตประจำวันของเราคือ ทำงาน เรียน กลับบ้าน วนอยู่แค่นี้ แล้วพอมีแฟนก็ทำอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้มีสังคม
คุณแม่แอน : ตอนที่เขามาบอกว่าจะแต่งงาน เราก็อึ้งๆ ไป เราก็ถามเขาว่าก็คิดดีแล้วเหรอ เราก็ตกใจนะคะ เราก็ปรึกษาสามีว่าเขามีความคิดเห็นว่ายังไง เขาก็บอกว่าจะคุยกับลูกอีกครั้งหนึ่ง เพราะลูกตอบกับเธอกับฉัน อาจจะไม่เหมือนกัน หลังจากนั้นเราได้คำตอบที่ยืนยันแน่นอน เราก็ปรึกษากันว่าเราไปห้ามก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็แต่งงาน
ถาม ในที่สุดนนนี่ก็แต่งงาน แต่พอมีโควิดเกิดขึ้น นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับนนนี่กับสามีไหม
นนนี่ : ใช่ค่ะ จริงๆ ตอนแรกที่เราตัดสินใจจะแต่งงาน เพราะเราตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่โน้น วางแพลนทุกอย่างแล้ว เราจะเก็บเงินซื้อบ้านนะ พอเราเรียนจบรับปริญญาเรียบร้อย เราจะไปเที่ยวกัน กลับมาก็จะหางานประจำทำ ที่ไม่ใช่งานในร้านอาหาร แต่พอต้องกลับมาเมืองไทย เราก็โอเคกลับมา มันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ต้องยอมรับว่ามันเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในหลายๆ อย่าง แต่ค่าใช้จ่ายที่โน้น เราก็ต้องรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน เพราะที่เรากลับมา เราคิดว่า 3-4 เดือน โควิดคงหาย คิดว่ากลับมาไม่นาน ซึ่งเขาก็กลับมาด้วยนะคะ พอเหมือนมีช่วงหนึ่งที่อังกฤษ เขาเปิดประเทศ แต่เราก็ตัดสินใจว่ายังไม่กลับแล้วกัน ให้เขากลับไปก่อน พอเขากลับไปก็เริ่มห่างกัน แล้วชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่โน้นไปแล้ว แต่เราอยู่เมืองไทยเราได้เจอคนมากขึ้น อยู่กับคุณแม่ ก็ไม่อยากกลับแล้ว เพราะความห่างไกล มันเลยทำให้เราเลิกกันไปโดยปริยาย เพราะเวลาที่โน้นกับบ้านเราห่างกัน 6 ชั่วโมง แล้วเราก็ไม่ได้มานั่งรอตีสี่ ตีห้าเพื่อคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว เพราะเราก็ต้องตื่นเช้า มีกิจกรรมกับคุณแม่ แล้วพอไม่ได้คุยกัน ก็ห่างกัน พอเขาทำงาน เขาก็ไม่ได้ส่งข้อความมาเลย เราก็ตกลงคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวนะคะ เลิกกันช่วงสิ้นปี เพราะเราก็บอกเขาว่าคงไม่ได้กลับไปเร็วๆ นี้ ถามว่าเสียใจไหม ไม่ได้เสียใจขนาดนั้น เพราะว่าเราเลิกกัน แต่เราได้กลับมาอยู่กับแม่ หนูว่ามันคุ้ม เพราะว่าเราได้ความรักที่เราไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เด็กกลับมา เราก็มีความสุขมากกว่า
ถาม วันหนึ่งลูกกลับมาแล้วอยู่ใกล้ขนาดนี้ แล้วเป็นผู้จัดการด้วย เรารู้สึกแฮปปี้จังเลยหรือต้องปรับตัวยังไงไหม
คุณแม่แอน : มีบ้างนิดหน่อยช่วงแรกๆ อาจจะทำงานไม่ได้ดั่งใจเรื่องของเอกสาร นนนี่เป็นคนทำงานเร็ว ทำงานคล่อง แต่ไม่ละเอียด แต่จริงๆ เราก็เครียดนะคะ ถามลึกๆ เรามีความสุขไหม แอนมีความสุขมาก เพราะว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตระหว่างแม่ลูกที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้ทำงานด้วยกัน แอนคิดว่าแอนปรับตัวแล้ว นนนี่ก็ปรับตัวเช่นเดียวกัน แต่ในความสุขนั้น เราก็มีความกังวลใจอยู่ เพราะความที่เราเป็นแม่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวในชีวิตที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะของลูกก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ เมื่อเราเห็นเหตุการณ์หรือว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นมันย่อมกระทบกับเรามากกว่า เพราะเราเป็นแม่ เราก็จะต้องทำตัวให้เข้มแข็งประคับประคองทุกอย่างให้มันผ่านไปได้ อย่างพอเขาแยกทาง เราก็เป็นห่วงเขา จริงๆ มันก็หนัก แต่เขาเหมือนแบบพยายามแข็งแรง แต่บางทีบางช่วงเขาก็เป็นคนที่เซนซิทีฟ
นนนี่ : ก่อนที่จะกลับมาเมืองไทย ความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับแฟนคือดีมาก ปกติมาก เพิ่งไปเที่ยวด้วยกันมา หนูมีความรู้สึกว่าถ้าเรายังคบกันไปแบบนี้ ถ้าใครคนใดไม่มีความสุข มันก็จะทำให้ทุกอย่างไม่มีความสุข ก็อย่าฝืนดีกว่า เพราะว่าหนูก็เต็มที่มากๆ แล้ว เราก็คุยกัน ลงความเห็นร่วมกันว่าพอเท่านี้ คิดว่าดีทั้งสองฝ่าย คิดว่าเขาก็ได้ใช้ชีวิตที่โน้น เราก็อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ฝืนไปมันก็ไม่ดีทั้งสองฝ่าย
ถาม ในวันนี้ มาอยู่ตรงนี้ใน Club Friday Show เป็นวันที่ความสุขทุกอย่างกลับมา มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วมีอะไรอยากบอกซึ่งกันและกันบ้าง
คุณแม่แอน : อยากจะขอบคุณ จริงๆ แล้วแอนกับลูกเป็นความรักที่เราไม่ค่อยได้บอกกันทุกวัน แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นแก้วตาดวงใจของแอนเลย (คุณแม่แอนกอดลูกสาว) รักเขามากที่สุด ก็จะเป็นกำลังใจให้เขาทำอะไรก็อยากให้มีสติ ดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง
นนนี่ : แม่ก็รู้ว่าหนูรักแม่ที่สุด และสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีของแม่ จะไม่ทำให้แม่เครียด จะทำให้แม่มีความสุขที่สุด (นนนี่หอมแก้มคุณแม่แอน)
ถาม ช่วงนี้น่าจะเรียกว่าเป็นช่วงที่ใกล้ชิดมากที่สุดในชีวิตนี้
คุณแม่แอน : ใกล้ชิดที่สุดแล้วค่ะ (น้ำตาคลอ) แต่เราก็ยังมีสิ่งที่ห่วงเขา เพราะว่าลูกก็ยังเป็นลูกวันยันค่ำ แล้วก็คือบางทีความรวดเร็วในการตัดสินใจอยากให้เขามีสติและค่อยๆ พิจารณา
นนนี่ : เพราะเราเป็นคนใจร้อน (รู้ตัวเองเลยค่ะ)
ถาม มานั่งตรงนี้แล้ว นนนี่ มีคำปรึกษากับพี่อ้อยพี่ฉอดด้วย
นนนี่ : อยากให้แนะนำมากกว่าค่ะ คือในอนาคตเราจะดำเนินต่อไปยังไงให้มีข้อคิดในการใช้ชีวิต เพราะหนูไม่มีปัญหาเรื่องความรัก
พี่อ้อย : นนนี่รู้สึกไหมที่เรานั่งคุยกัน หลายสิ่งหลายอย่างหนูได้จากในชีวิตจริง ชีวิตจริงของนนนี่สอนแต่ละอย่าง พี่อ้อยว่าในชีวิตเรามีตำราสอนเราอยู่แล้ว และมีตำราความรักเพิ่มมาอีกเล่มหนึ่ง สอนจากคนที่เรารักแล้ว มันก็เป็นตำราที่บ่มเพาะเราไปเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง หนูมีตำราอยู่ในมือ และวันนี้สิ่งที่ทำให้เห็นได้อย่างหนึ่งคือคุณแม่บอกว่าหนูเป็นคนใจร้อน แต่วันนี้หนูอยู่ใกล้คุณแม่ พี่อ้อยว่าหนูจะมีสติมากขึ้น เพราะหนูอาจจะคิดว่าเมื่อก่อนชีวิตเราคนเดียว เราสามารถตัดสินใจเองเรารับผิดชอบได้ แต่พอเราได้มาอยู่ใกล้ๆ คุณแม่ เราจะรู้สึกว่าแม่จะคิดยังไง แม่โอเคไหม วันนี้แม่คือสติอีกสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว และเมื่อวันหนึ่งหนูรักตัวเองมากพอ รักคุณแม่มากพอ มันจะเป็นเกราะป้องกันให้คุณแม่อีกชั้นหนึ่ง จะมีเบรกในชีวิต
พี่ฉอด : ที่หนูถามว่าหนูต้องมีวิธีคิดยังไง รู้ไหมสิ่งที่หนูคิดวันนี้ ที่หนูเล่ามาในรายการทั้งหมด หนูคิดดีแล้ว แม้แต่คุณแม่เอง เป็นแม่ลูกกันแม่ยังต้องเรียนรู้วิธีของลูกเลยว่าจริงๆ ฉันดราม่ามากเกินไปหรือเปล่า พอไม่ดราม่า มันก็มีความสุขทันทีเลย งั้นทุกคนที่ได้นั่งฟังกันอยู่ตอนนี้ ก็ได้ความคิดในแต่ละแบบที่ไม่มีคำว่าถูกผิดหรอก อยู่ที่ว่าเราจะใช้วิธีคิดของเรายังไงที่ทำให้เราใช้ชีวิตในโลกใบนี้ยังไง ทำให้มีความสุขที่สุด และที่นนนี่พูดว่าหนูไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน พี่ว่าอันนี้สำคัญที่สุด เราไม่ได้มีความสุขบนความทุกข์ของใคร
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป