กว่าจะเจอรักแท้ อย่าง หวานใจ "หนุ่มบิ๊ก" ที่เปิดตัวต่อสาธารณะชนและครอบครัวในทุกวันนี้ "เชียร์ ฑิฆัมพร" แขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ได้เปิดใจทุกเรื่องความรักที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนแบบหมดเปลือก ตั้งแต่ความรักครั้งแรก ความรักที่เจ็บที่สุด ความรักในกองถ่ายที่ทำให้ต้องเสียน้ำตา และความรักที่กว่าจะรักก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์อยู่นานเพราะความกลัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "นนนี่" ลูกสาว "แอน สิเรียม" เปิดเหตุผลแยกทางสามี ได้กลับมาอยู่กับแม่มีความสุขมากกว่า
- "อ๋อม สกาวใจ" เข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก จนเคยคิดฆ่าลูกพี่ลูกน้อง
- ล้วงชีวิต "นุ่น ดารัณ" เจอรักช้ำ ก่อนจะเจอรักแท้ที่อยู่ใกล้ตัวมาตลอด 20 กว่าปี
- เป็นเมีย "สุเทพ สีใส" เจอบูลลี่หนัก "เป็นผู้หญิงกลางคืนชัวร์ หน้าแบบนี้ ไม่มีเงินไม่เอาหรอก"
- ดูบังเกิดเกล้าย้อนหลัง ละครแซบอมรินทร์ทีวี ที่นี่
ถาม มีสเปกพิเศษไหม แพ้ผู้ชายแนวไหน
เชียร์ : เชียร์จะชอบผู้ชายที่มีความตี๋อินเตอร์ แบบลูกครึ่งเอเชีย เกาหลีหรือญี่ปุ่น จะมีความเขินมาก รู้สึกว่าแพ้จังเลย แต่ในชีวิตก็ไม่มีแฟนแบบนั้นเข้ามาเลย เป็นแค่ภาพที่เรามโนขึ้นมาจริงๆ
ถาม แล้วมีความรักแบบจริงจังครั้งแรกเมื่อไหร่
เชียร์ : ความรักของเชียร์เกิดขึ้นจริงๆ ในช่วงนั้นวัยรุ่น 10 กว่าประมาณนี้ค่ะ ตอนนั้นเข้าวงการแล้ว เล่นละครแล้ว จริงๆ ก็เหมือนในละครเหมือนกัน เพราะเราเจอกันโดยบังเอิญ เป็นเหตุการณ์ที่เราไปงานอีเว้นต์ที่มาบุญครอง แล้วเดินข้ามมาที่ฝั่งสยาม มาหาเพื่อนค่ะ เป็นแค่วินาทีที่เดินข้ามถนนกันแล้วก็เดินสวนกัน เราคิดในใจว่าคนนี้หน้าตาดีจัง ดูดีจัง เท่จัง แต่ว่าเพื่อนที่อยู่กับเรา เป็นทอมแต่กรี๊ดผู้ชาย คงลืมตัว(หัวเราะ) ก็บอกเราว่าชอบคนนี้ เท่มาก เป็นแฟนคลับ เราก็ใครไม่รู้จัก เพื่อนก็ว่าเราไม่รู้จักได้ไง แล้วเพื่อนเราก็ข้ามถนน เพื่อตามเขา แอบมองสักนิดก็ยังดี แต่ปรากฏว่าคนนี้เขาเดินกลับมา แล้วมาคุยอะไรกับเพื่อนเราก็ไม่รู้ หลังจากนั้นเพื่อนก็รีบข้ามถนนกลับมาเลย เขาขอเบอร์เรา เราก็แบบเฮ้ย!! ตอนนั้นก็เขินเหมือนกัน ไม่คิดว่าการเดินข้ามถนนเจอกันแป๊บเดียว แล้วเราแอบรู้สึกปลื้มๆ อยู่ในใจ เป็นไปได้ยังไง ซึ่งเขาก็เป็นคนดังในหมู่วัยรุ่น ตอนนั้นยังไม่เขาวงการเต็มตัว เพื่อนก็บอกให้เราคุยกับเขาไปเถอะ ให้เบอร์เขาไปแล้ว เขาก็โทรมาหา เราก็เขินๆ เหมือนกัน แต่ก็ได้คุยกัน ได้คบกันเป็นแฟน คบกันสักพักใหญ่ๆ เลยช่วงนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกัน ด้วยความที่เชียร์อยู่ที่สังกัดเก่า เชียร์ต้องทำงานหนักจริงๆ ทั้งการเล่นละครออนแอร์ หมายความว่า 7 วันหรืออะไรก็ตาม ชีวิตเชียร์จะอยู่แค่โรงเรียน พอเรียนเสร็จไปถ่ายละคร ถ่ายละครตอนเช้า กลับมาเรียน มันมีโอกาสน้อยมากที่เราจะใช้เวลาเหมือนวัยรุ่นทั่วไป แทบไม่มีเลยจริงๆ เลยทำให้จังหวะและโอกาสมันไม่ได้ไปต่อค่ะ จริงๆ เป็นความรักที่เชียร์ก็เสียดายนะเพราะว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เราสัมผัสได้ว่าเขาตั้งใจจริงๆ แล้วก็มีความพยายามจริงๆ เชียร์ไม่เคยเจอใครโทร Miss calls หาเชียร์ได้เยอะเท่าเขาในชีวิตมาก่อนเลย เราก็มีเรื่องประทับใจในตัวเขาเยอะ แต่จังหวะและโอกาสไปต่อไม่ได้จริงๆ เราจบลงโดยที่ไม่ได้มีปัญหา แต่แค่ไม่มีเวลาเท่านั้นเองค่ะ เชียร์เป็นคนบอกเลิกเขาด้วยซ้ำ จังหวะเวลามันไม่ได้มาในช่วงที่ใช่ มันก็เลยต้องหยุดไว้อย่างนั้น แต่เราก็ยังมีความเป็นเพื่อนกันนะคะ ตอนคบกันก็มีแค่เพื่อนๆ ที่รู้ เพราะเราเจอกันน้อยจริงๆ บางทีเราแค่กลับมา เขาก็มารอเจอเราที่หน้าปากซอย เราก็รู้สึกว่ามันลำบากเหมือนกันเนอะ
ถาม พอได้เลิกกันไปกับคนนี้ ก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์จากเขาคนนั้น
เชียร์ : ตอนที่เราแยกกันไป เราก็ยังเด็กมากจริงๆ แล้วเราก็เป็นคนที่บอกเลิกเขา เราก็ไม่รู้เลยว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของเขามากน้อยแค่ไหน บอกเลยว่าเชียร์ไม่แน่ใจว่าใช่เชียร์ไหม แต่เห็นจากรายการหนึ่ง เขาเข้าสู่วงการแล้ว แต่อันนี้ผ่านมานานมากแล้วนะคะ เขาถูกถามว่ามีความรักครั้งไหนอยู่ในใจคุณบ้างไหม เขาก็บอกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นคนในวงการ แต่ในใจเราก็คิดว่าไม่ใช่ แต่ก็มีคนถามมาว่าใช่ ช.ช้าง หรือเปล่า เขาก็เล่าว่าได้เจอกันเฉพาะตอนทำการบ้าน ทั้งหมดก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นเรา ก็รู้สึกเซอร์ไพรส์ค่ะ ถ้ามันใช่เชียร์จริงๆ หมายความว่ารักครั้งนั้นมันอยู่ในใจเขา ก็รู้สึกดีเหมือน ต้องขอบคุณที่ให้ความรักของเรา ครั้งหนึ่งยังอยู่ในใจ
ถาม แล้วก็ครั้งหนึ่งเคยมีความรักกลางกองถ่าย ไปทำงานแล้วเจอใครบางคนเข้า
เชียร์ : หลายๆ เรื่องไม่เคยพูดที่ไหนเลย ก็ใช่ค่ะ เป็นความรู้สึกดีที่เกิดกลางกองถ่าย
ถาม เขามาจีบหรือเปล่า
เชียร์ : ก็ต้องใช้คำนั้นนะ เขาเป็นคนที่เข้ามาก่อน เพราะว่าจากเดิม แสดงกันปกติ ทำงานกันปกติ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มได้รับการดูแลอะไรบางอย่าง ก็เริ่มค่อยๆ รู้สึกดี คุยกันนอกรอบ โทรมา หรือมีการเทคแคร์อะไรบางอย่างมากกว่าคนอื่น ค่อนข้างชัดเจน สิ่งที่เราชอบในตัวเขาคือการที่เราได้รับการดูแลมากกว่าค่ะ เราก็เลยรู้สึกดีที่เราได้รับการดูแลแบบนี้ อาจจะไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกันนะคะ เรามีการคุยกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน ก็เหมือนคุยๆ กันนั่นแหละค่ะ แต่พอวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากที่คุยๆ กันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็ไม่คุยกับเราเหมือนเดิม เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เหมือนคนไม่รู้จักกันไปเลย มึนตึงใส่เรา เมินๆ ไปเลย ซึ่งมันแปลกมาก เพราะเราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน เหมือนว่าวันนี้คุยกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้หายหน้าไปเลย แล้วพอเจอหน้า กลายเป็นไม่คุยกันเหมือนเดิม แต่เราก็ยังเข้าซีนเล่นละครกันได้ แต่พอสั่งคัทก็ต่างคนต่างอยู่เลย เหมือนโกรธกัน ซึ่งเชียร์ยังไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไม แต่เราก็ไม่ได้ถามเขานะคะ เพราะว่าหนึ่ง ถ้าเขาเลือกที่จะเมินเราได้ขนาดนี้แล้ว แปลว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ให้กับเราเหมือนเดิม เราจะไปหาคำตอบอะไรอีก อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรแล้วกัน แต่ถามว่าเสียใจไหม เสียใจนะคะ เพราะว่ามันช็อกค่ะ จากคนที่คุยกันอยู่ดีๆ ทำไมกลายเป็นคนไม่คุยกันเหมือนเดิม ซึ่งตอนทำงาน เราก็อึดอัดจนมีน้ำตาเลย เรายังต้องทำงานด้วยกันอยู่ ยังต้องเจอหน้ากัน มันเป็นความไม่เข้าใจ แล้วมันเหมือนอาการช็อกอะไรบางอย่างที่เราตั้งรับไม่ทัน เราเดินไปหน้าฉาก จะเดินไปเข้าฉากแล้ว พอเจอเป็นแบบนั้น ความรู้สึกมันเหมือนออกมาเป็นน้ำตา พอเรารู้สึกว่าน้ำตาจะไหลแล้ว เราก็ขอไปเข้าห้องน้ำ เดินออกจากฉากเพื่อที่จะไปปาดน้ำตา เราก็บอกตัวเองว่าอย่าเป็นแบบนี้ แล้วก็เดินกลับไปทำงานต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เชียร์ก็ไม่ได้อยากถาม ไม่ได้ติดใจอะไร ถ้าคนคนหนึ่งเขาไม่ได้รักเราก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้อยากถึงขนาดต้องเคลียร์ ต้องโหยหาอะไร บางคนถ้าเขาไม่อยากจะหวังดีกับเรา ไม่อยากจะมีความรู้สึกดีๆ ให้เราแล้ว ทำอะไรไปก็น่าจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว จริงๆ ทุกวันนี้ เราก็ยังสนิทกัน ยังรักกัน หวังดีต่อกันในแบบเพื่อนพี่น้องนะคะ แต่เราก็ไม่เคยคิดจะถามเรื่องนี้กับเขาเลย เพราะเราเป็นคนที่ไม่ชอบเสียใจนาน เรายังต้องอยู่หน้ากล้อง ถ้าเราจมดิ่งกับอะไรบางอย่าง เราจะเอาพลังที่ไหนไปทำหน้ากล้องให้มีพลัง
ถาม แต่ที่บอกว่าเชียร์ไม่ชอบเสียใจนาน แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เฮิร์ตหนักมากถึงสองปี
เชียร์ : เชียร์เป็นคนที่รักใคร ได้คบใครเป็นแฟน เราจะจริงจังมาก เราจะให้คุณค่ากับมันมาก คบกับใครเราไม่เคยคิดว่าอยากจะเลิก อยากจะคบไปนานๆ ยาวๆ เชียร์รู้สึกว่าการที่เราได้เจอคนหนึ่งที่เขารู้สึกดีกับเรา และเรารู้สึกดีกับเขา มันเป็นเรื่องไม่ง่าย เราเลยอยากรักษาให้มันนานที่สุดและดีที่สุด ซึ่งมีความรักครั้งหนึ่งที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะโดนบอกเลิก เรายังรู้สึกว่าทุกวันมันดี ไม่ได้ทะเลาะกันบ่อยเลย วันหนึ่งเราโดนบอกเลิก ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ และไม่มีสัญญาณอะไรเลย ซึ่งเขาที่มาบอกเลิกเรา ก็ไม่ได้ถามอะไรเขาบางทีเชียร์อาจจะไม่อยากรู้คำตอบก็ได้ เพราะเราอาจจะเสียใจมากกว่าเดิมก็ได้ สมมติเขาบอกว่าไม่รักเราแล้วหรือหมดใจ เป็นคำคอนเฟิร์มแบบนี้ เชียร์อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้
เชียร์ : แล้วเรารู้สึกว่าคนคนหนึ่งที่เขาคิดที่จะมาบอกเลิกเรา เขาต้องคิดมาอย่างดีพอสมควร เราก็ให้เกียรติในสิ่งที่เขาการตัดสินใจ ถ้าเราไม่ใช่สำหรับเขา มันก็คงไม่ใช่นั่นแหละ แต่ถามว่าอยากเลิกไหม ไม่ได้อยากเลิกเลย เค้ขาโทรมาบอกเลิก ซึ่งเราก็เฮิร์ตหนักมาก ได้ยินแค่ชื่อก็ไม่ได้ ได้ยินเพลงที่มันเกี่ยวกับความรู้สึกดีๆ ที่เราให้กันก็ไม่ได้ ปีหนึ่งก็ไม่ดีขึ้นเลย กลับบ้านก็ร้องไห้เสียใจ เชียร์ ถึงชอบทำงานมากกว่า พอเราทำงาน เราจะตัดความโศกเศร้าเสียใจ เพราะเราจะหวงพลังงานในการทำงานตรงนี้มาก แต่พอกลับบ้านคือเราอ่อนแอมาก เราก็มีไปง้อเขาเหมือนกัน เพราะเราก็ยังมีคิดถึง ยังแบบอยากมีเขาอยู่ แต่เราก็ติดต่อเขาไม่ได้เลย พยายามขับรถไปคุยกับเขา เหมือนเรายังรับไม่ได้ อยากให้เขากลับมา กลายเป็นว่าเราร้องไห้ขับรถไปไกลมาก เวลาผ่านไป 1 ปี เราก็คิดว่าคงเริ่มดีขึ้นแล้ว พอมารู้ว่าเขามีแฟน ทุกอย่างมันกลับไปเริ่มหนึ่งใหม่ ลึกๆ เราก็ยังรู้สึกรอเขาอยู่ แต่เราก็ไม่ได้แสดงตัวว่ารอเขา ท้ายที่สุดกว่าจะดีขึ้นกับความรักครั้งนี้ก็ประมาณเกือบๆ 2 ปีเลย
ถาม โดยที่เราไม่มีโอกาสรู้ด้วยว่าเขาเลิกกับเราเพราะอะไร
เชียร์ : ใช่ค่ะ แต่ถามว่าโกรธหรือเกลียดไหม เชียร์ไม่โกรธไม่เกลียดเลยนะคะ ทุกคนเลยด้วยซ้ำ เรายังมีความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นอะไรที่ปรึกษากันได้แบบสนิทใจเหมือนเดิมเลย พอเราเต็มที่มากๆ กับความรัก ะบอกรักกันทุกวัน จะทำอะไรที่แบบเราทำอะไรด้วยกันอยู่ตลอดแล้ว แต่พอวันหนึ่งที่มันไปต่อไม่ได้จริงๆ มันไม่เป็นอะไร เรามาบังคับใครให้รักเราไม่ได้ แต่ในช่วงที่คบกัน ถ้าเวลามีปัญหา เชียร์ก็จะเป็นคนที่พูดอะไรตรงๆ แต่กลายเป็นว่าลุคที่เราดูสตรอง ลุคที่เราน่าจะพูดอะไรได้ดี หรือน่าจะอยากเคลียร์อะไรได้อย่างนี้ แต่พอกับเรื่องความรักคือเชียร์เซนซิทีฟมาก พอยิ่งเขาจะไม่ไปต่อกับเรา จุดนี้เหมือนมันสุดทาง ถ้ามันดีจริงๆ เขาคงไม่ตัดสินใจแบบนี้ เชียร์เลยกลับมาเคลียร์กับตัวเองว่ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ และเราก็ไม่อยากเสียใจนาน แต่อย่างที่บอกพอรักใครมันควบคุมยากจริงๆ ซึ่งเราก็เคยคิดว่าเขาเลิกกับเราเพราะอะไร แต่เราไม่เคยคิดจะไปเอาคำตอบจากเขา
ถาม เสียใจอยู่ตั้ง 2 ปี Move On ออกมาได้ยังไง
เชียร์ : ด้วยเวลาด้วยค่ะ จะโฟกัสการทำงาน ครอบครัว หรือแฟนคลับ ถึงแม้มันจะต่างรูปแบบ แต่มันก็เป็นพลังงานที่ดีเหมือนกัน พอเราได้รับสิ่งเหล่านี้ ก็ช่วยเยียวยารักษาแผลในใจของเราไป
ถาม ในวันที่หลุด เรารู้สึกยังไงบ้าง
เชียร์ : เห็นอะไรที่เป็นความสุขของเขา ที่เขาคบกับใคร เรารู้สึกยินดีไปด้วย เราไม่ได้เติมให้เขาได้แบบนั้น เขาอาจจะเจอสิ่งที่เหมาะกับเขาแล้ว อะไรอย่างนี้ค่ะ มันเป็นความยินดีแล้วก็ไม่ได้เห็นแล้วเรารู้สึกเสียดแทงอะไรในใจอย่างนี้ค่ะ
ถาม เรามักจะได้ยินคำถามว่าทำอย่างไรดีถึงจะมูฟออนได้ ซึ่งเชียร์อาจจะเป็นกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าก็ไม่เห็นต้องทำอะไร แค่ทำไปแต่ละวัน
เชียร์ : สิ่งหนึ่งที่มันตอบตัวเราได้ คือวันที่เชียร์บอกตัวเองว่า เฮ้ย!! เราต้องทำงานต่อนะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการที่เราต้องจมอยู่กับอะไรที่มันทำร้าย เราทำร้ายตัวเองทั้งนั้นเลย เราต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ซึ่งครอบครัวไม่เคยรู้เลย เพราะว่าเชียร์ไม่เคยพูดอะไร โดยเฉพาะถ้าเป็นอะไรที่แย่หรือเราเสียใจ เชียร์ไม่อยากให้ครอบครัวเป็นห่วงเลย ป๊า หม่าม้าเป็นห่วงเรา เพราะเราทำงานตั้งแต่เด็กดูแลครอบครัวตั้งแต่เด็ก เขาเลยไม่เคยรับรู้เรื่องที่เรามีแฟนเลยสักคนที่ผ่านมา แต่เชียร์รู้ว่าเขารู้ทุกอย่าง แต่แค่ว่าเชียร์ไม่เคยเดินไปพูดอะไรกับเขา แล้วเขาก็ไม่ถามเรา เพราะเรามีความรู้สึกไม่อยากให้เขาเป็นห่วงค่ะ เราอยากจะจัดการตรงนี้ด้วยตัวเราเอง
ถาม แม้กระทั่งคนที่เชียร์บอกว่าจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ที่บ้านยังรู้พร้อมกับทุกคน
เชียร์ : ใช่ ครอบครัวรู้จากข่าวค่ะ
ถาม ก่อนที่เราจะมาเจอคุณบิ๊ก เราสงสัยไหม ทำไมความรักของเรามันคล้ายๆ กัน จบโดยแบบอยู่ๆ ก็หายแบบนี้ แล้วเรากลัวไหมครั้งนี้ จะเป็นแบบนี้อีกไหม
เชียร์ : ก็ไม่ถึงกับกลัวนะคะ เชียร์เป็นคนหนึ่งเลยที่ทุ่มเทให้กับความรัก แต่เชียร์ไม่เคยคาดหวังหรือโหยหาอะไรที่ว่าเราจะต้องมีรัก เราจะต้องแต่งงาน แต่ถ้าเรามีนั่นคือความโชคดีที่เราได้เจอกัน จนมาถึงปัจจุบันคือคุณบิ๊ก ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะคบคนนี้ เคสของบิ๊ก เป็นเคสที่แปลกมาก ปกติทุกเคสที่เคยได้เป็นแฟนกัน เราจะมีความแบบเคมีฟรุ้งฟริ้งอะไรบางอย่าง แบบเรารู้สึกไม่ปกติ เช่น เราอยู่ใกล้เขา เราจะรู้สึกเขิน เขินอะไรก็ไม่รู้ แต่กับบิ๊ก เป็นคนเดียวเลยที่เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเลย แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเขาจะมาเป็นแฟนเรา เป็นคนรักเรา เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ตรงสเปกเราเลย จากข้างนอกสู่ข้างในไม่ได้มีนิสัยที่เราคิดว่าเราชอบคนนี้ เชียร์ ไม่ได้ชอบผู้ชายมีหนวด ไม่ได้อยู่ในสเปกเรา
ถาม เจอกันได้ยังไง
เชียร์ : เรียนคอร์สหนึ่งชื่อว่า DEF ค่ะ แล้วก็เป็นช่วงหลังจากการอกหักครั้งยิ่งใหญ่เหมือนกัน 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้มีความรักเลย แล้วไม่ได้อยากแบบไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องความรักอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่ก็มาเจอเขา
ถาม ซึ่งผู้ชายคนนี้ เชียร์หมายหัวไว้เลยว่าต้องอยู่ห่างๆ
เชียร์ : เขาเป็นคนที่ดูดี มีแต่คนต้องการเขา เป็นหนุ่มฮอตในคอร์ส คนให้ความสนใจ เราก็บอกว่าจะไม่มีทางไปใกล้คนนี้แน่นอน ไม่อยากอยู่ในโซนอันตราย ขอรู้จักกันห่างๆ พอ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศกัน จังหวะอะไรไม่รู้ เชียร์พยายามรักษาระยะ ไม่อยู่ใกล้เขา เหมือนหนีไม่พ้นค่ะ จังหวะที่ต้องกลับจากสิงคโปร์มาไทย จริงๆ เรากลับกันสามคน มีพี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ขึ้นเครื่องบิน แทนที่เราจะได้นั่งกันสามคน กลายเป็นชื่อที่เขาลงให้นั่งด้วยกันคือบิ๊กกับเชียร์ แล้วก็คุณลุงต่างชาติคนหนึ่ง แล้วพี่ผู้หญิงเขาต้องไปนั่งคนเดียว เราก็พยายามจะสลับให้พี่เขานั่งกับบิ๊ก เพราะเขารู้จักกันมาก่อน เขาก็ไม่เอา เขาไม่อยากให้เรานั่งคนเดียว ในใจเราตอนนั้นคือยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ แต่เราไม่ได้เกลียดเขานะคะ แต่เราไม่อยากให้มีโอกาสที่เขามาชอบเรา เราเลยลดความเสี่ยงทุกทาง แต่กลับกลายเป็นว่าระหว่างทาง เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้รู้จักเขามากขึ้น และเชียร์ก็เชื่อว่าเขาก็น่าจะได้รู้จักเรามากขึ้น เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้คุยกัน เขาเป็นคนเรียบง่ายมากเลย ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เคยถามบิ๊ก เขาบอกว่าก็รู้สึกดี แต่กลับมา เขาไม่ได้จีบเราอย่างเป็นทางการเลย แต่ก็มีสัญญาณมาถึงเราชัดเจนขึ้น เช่น มีคนช่วยเขา มาบอกกับคนสนิทเราว่ามีคนอยากได้เบอร์เรา มีคนอยากโทรคุยนะ เริ่มจัดฉากให้เราได้มาอยู่ใกล้ๆ กัน เราก็ยังไม่หวั่นไหว เพราะเรารู้ว่ามีคนหมายปองเขาอยู่ เขายิ่งจีบ เรายิ่งหนีเลย เพราะว่าเราไม่รู้ว่าพี่คนนั้นเขาเลิกชอบบิ๊กไปหรือยัง เหมือนเรามีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันมันยังโอเคอยู่ ถ้ามันจะใช่จริงๆ ก็ค่อยศึกษาไป ก็ไม่ได้ให้ความหวัง ซึ่งเราก็รู้สึกตอนที่ว่าพอมีคนเข้ามา แล้วก็หายไป เข้ามาหายไป แต่บิ๊กเขาไม่หายไปไหนเลย เราก็รู้สึกว่าทำไมเขาอยู่กับเรานานจัง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ดีกับเขาเลย แต่เขาสม่ำเสมอกับเรามากๆ ส่งดอกไม้มา แต่ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนะ แต่อยู่มาแบบนี้เรื่อยๆ เชียร์ถือว่าเชียร์ใจร้ายมากพอสมควรเลยนะคะ เช่น บางทีเขาทักมาเช้า เชียร์ตอบห้าทุ่มยังมีเลย เพราะเราก็ชัดเจนกับเขาว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณนะ แต่เขาก็ยังพยายาม ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เราไปบอกเขาว่าเธอไม่ต้องพยายามแล้วก็ได้ เราก็ค่อนข้างชัดเจนนะว่าเรามีระยะกันแค่นี้ เชียร์ก็อยากให้เขาได้เจอกับคนที่เหมาะกับเขา คนที่ดีกับเขา เพราะถ้าเขาจะดีกับใครขนาดนี้ เขาควรจะได้รับสิ่งดีๆ กลับไปเหมือนกัน ไม่ใช่มาเสียเวลากับเชียร์ ก็เลยชัดเจนที่จะบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันเถอะ อย่าพยายามอีกเลย เขาก็โอเค พอแยกจากกัน เขาก็ไลน์มาหาเราเหมือนเดิม พอจุดนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราคิดเหมือนกันว่า เราก็ชัดเจนแล้ว แต่ทำไมเขายังอยากจะคุยกับเราต่อ ก็เริ่มใจอ่อน เพราะเขาทนจีบเราแบบนี้มา 2 ปี
ถาม มีการพูดกันอย่างเป็นทางการไหม
เชียร์ : แค่มานั่งคุยกันแบบนี้ เป็นแฟนกันได้หรือยัง เราก็บอกเขาว่าเป็นสิ
ถาม หลังจากคบกันแล้ว ก็เจอปัญหาสารพัดของความต่าง
เชียร์ : นิสัยเชียร์กับคุณบิ๊กหลายอย่างไม่เหมือนกัน อย่าง เชียร์เวลามีปัญหาอะไร ก็ต้องคุย ซึ่งถ้าแก้ปัญหาที่ต่างคนต่างไม่เข้าใจ เชียร์ก็จะคุย แต่เราก็มีนิสัยชะนีเล็กๆ เพราะถ้าเราไม่ผิด เขาก็ต้องมาคุยกับเราก่อน แล้วเขาก็จะหายไปเลย บางทีก็อาทิตย์หนึ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย จนเราต้องคุณเดี๋ยวก่อน คุณเป็นอะไร ไม่อยากคุยเหรอ ไม่อยากกลับมาใช้เวลากันเหมือนเดิมเหรอ เขาก็ตอบว่าอยากแต่ไม่กล้า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรยังไงกับเรา ไปแล้วมันจะดีไหม จะโกรธกว่าเดิมหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่ได้สิ มีอะไรก็ต้องคุยกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาเป็นคนที่ค่อนข้างแคร์เชียร์มากเลย ทำให้กลายเป็นว่ากลัวไปหมด พอหลังจากครั้งนั้น เชียร์ก็คุยเลยว่าไม่ได้นะ พอเราเย็นลงแล้ว เราก็คุยกันเลยสิ อย่าปล่อยไว้นาน รีบคุยนะ อย่าปล่อยให้ค้างคา แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ยังมีความหายแต่ไม่เท่ากับตอนแรก ด้วยนิสัยที่เขาเป็นคนใจเย็นมากๆ เราก็พยามเข้าใจเขา หรือถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เริ่มจะทะเลาะกัน เชียร์จะเริ่มคุยก่อนเลย ขอเคลียร์ก่อน ไม่ต้องรอให้เขามาง้อ ตอนนี้คบกันมาก็ประมาณจะสองปีแล้ว ซึ่งเขาก็เป็นคนแรกที่เชียร์พามาแนะนำกับครอบครัว ด้วยวัยด้วย และความชัดเจนที่เราเลือกแล้วว่าอยากให้เป็นคนนี้ ฉะนั้นการไปเจอครอบครัว ได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน เชียร์คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี อยากให้คนนี้เป็นคนที่ใช่ เพราะเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเราหลายๆ อย่างเหมือนกัน เขามีความน่ารัก เขาเป็นคนที่พูดไม่เก่งแต่การกระทำของเขาเต็มที่ เซอร์ไพส์เรามาก เหมือนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เชียร์หาของมีค่าไม่เจอ แล้วก็เครียดมาก เหมือนเขาจะช่วยแหละ แต่เขาก็พูดประโยคเดิม แบบว่าอยู่นั่นนี่หรือเปล่า ซึ่งเชียร์ก็พูดว่าถ้าเป็นเชียร์ เชียร์จะไม่พูดประโยคนี้แล้วนะ เราก็รู้สึกว่ากำลังจะหงุดหงิดแล้ว ก็เลยวาง กำลังจะรู้สึกผิดเลย กำลังจะโทรศัพท์ไปขอโทษเขา ตอนนั้นตีสามนะคะ ปรากฏว่าเปิดประตูห้องเข้ามา น้ำตาจะไหลเลย เพราะเรากำลังรู้สึกผิดอยู่ เราก็ถามเขาว่ามาทำไม?? ดึกแล้ว เขาก็บอกว่าเห็นเราเครียดหาของอยู่ สุดท้ายสิ่งที่เขาทำมันเติมเต็มให้กับเรามากๆ และลงตัวที่สุด
ดูคลิปย้อนหลังรายการ Club Friday Show ได้ทางยูทูป