จากกรณีวันที่ 15 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 10.30 น. ได้รับแจ้งว่ามีพระธรรมกร เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ภูหินกอง อยู่บนภูเขาซ้ายมือทางไปบ้านนาแค ในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู เสียชีวิตโดยได้ใช้มีดตัดคอตัวเองจนเสียชีวิตเพื่อถวายให้พระพุทธเจ้า บริเวณจุดที่ฆ่าตัวตายมีรูปปั้นคล้ายกับพระอินทร์ไม่มีศีรษะ และมือทั้ง 2 ข้างได้ถือศีรษะคล้ายกับโดนตัดไว้ในมือนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ช็อก “กิโยตีน” หั่นคอพระธรรมกร ถูกซ่อนแยกชิ้น สื่อเจอเชือกเปื้อนเลือด-กระดูกใต้หิน
- ศิษย์โชว์ภาพอัศจรรย์เผาศพ "ธรรมกร" ร่างโผล่หัวหาย-ตัวบนฟ้า มั่นใจบรรลุ
- กู้ภัยช็อก! ศิษย์ลัทธิพระตัดหัวเก็บศพกันเองใส่โลง "ศรีอริยะ" ผวาไม่ทำตาม
วันที่ 19 เม.ย. 64 พระมหาไพวัลย์ วรวณโณ พระวัดสร้อยทอง เดินทางมาสำรวจที่สำนักสงฆ์ภูหินกอง พร้อมกับนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา และได้พูดคุยกับลูกศิษย์ พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้ตนเองได้เดินทางมาที่สำนักสงฆ์ภูหินกอง มองว่าลักษณะไม่ใช่วัด เป็นเพียงที่พักสงฆ์ทั่วไป แต่สังเกตจากสิ่งปลูกสร้างและพระพุทธรูป รวมถึงเจดีย์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามหลักพุทธศาสนา เพราะถ้าหากอ้างว่าเป็นพุทธศาสนาก็ต้องมีพระพุทธรูป แต่รูปปั้นส่วนใหญ่เป็นเทพจากฮินดู ดังนั้นก็อยากให้หน่วยงาน โดยเฉพาะสำนักพุทธศาสนาเข้ามาดำเนินการตรวจสอบ
ส่วนกรณีการฆ่าตัวตาย การใช้เครื่องกิโยตีนมีการตัดหัวตัวเองนั้น ตามหลักพุทธะศาสนาไม่เคยสอนให้ใครฆ่าตัวตาย และไม่เคยนิยามเอาไว้ในพระไตรปิฎก ไม่เคยมีหลักคำสอนใดที่บอกให้มีการตัดหัวใช้เลือดเนื้อถวายพระพุทธเจ้า หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ว่าการถวายตัวเพื่อบำเพ็ญตน และเป็นผู้เผยแผ่พุทธศาสนา การอุทิศตัวอุทิศตนเพื่อพุทธศาสนา จะเป็นหลักที่แท้จริง ไม่ใช่การฆ่าตัวตายแล้วถวายเนื้อหรือเลือด
ดังนั้นหลักความคิดของพระธรรมกร จึงค่อนข้างผิดไปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และไปยึดถือสิ่งผิด นำเรื่องเล่าหรือนิทานที่แต่งขึ้นหลังพุทธกาลสมัยศตวรรษที่ 17 ช่วงระยะ 1,000 ปีหลัง เป็นหนึ่งในเรื่องนิทานที่แต่งขึ้นจากชาดก ไม่ได้อิงตามหลักความเป็นจริง เมื่อยึดถือเรื่องนิทานมาเป็นเรื่องจริง จึงถือว่าเป็นความคิดที่ผิดและเป็นการกระทำที่ผิด
หลังจากนั้น พระมหาไพวัลย์ได้ขึ้นไปบนศาลาด้านหลังองค์พระเจดีย์สีขาว ศาลาที่พระธรรมกรใช้ปฏิบัติธรรม ขึ้นไปนั่งอยู่บริเวณด้านบนศาลา ก้มกราบพระพุทธรูปที่อยู่ภายในศาลา พร้อมทั้งได้เรียกให้แม่ชีและลูกศิษย์ของพระธรรมกร เข้ามาพบภายในศาลา แต่แม่ชีไม่มีใครออกมาพบ มีเพียงลูกศิษย์ 2 คน ชื่อ นางสาวโดกกับนางสาวแพร เป็นตัวแทนของลูกศิษย์ที่ปฏิบัติอยู่ภายในสำนักสงฆ์ เข้ามาก้มกราบนมัสการพระมหาไพวัลย์ และได้มีการพูดคุยตอบข้อซักถามกัน
ระหว่างนั้น พระมหาไพวัลย์ได้สอบถามลูกศิษย์ของสำนักสงฆ์ นางสาวโดก เปิดเผยว่า ตนเองในฐานะลูกศิษย์เข้ามาปฎิบัติและอยู่อาศัยที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวของพระธรรมกร เพราะมีการสอนให้ลูกศิษย์ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมทั้งให้มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และสอนไปตามหลักพุทธศาสนา แต่ที่ผ่านมาพระธรรมกรไม่เคยสอนให้คนต้องจบชีวิตหรือฆ่าตัวตาย หรือแม้แต่ต้องใช้เครื่องกิโยตีน สังเกตว่าพระธรรมกรมีการสร้างโครงขึ้นมา 1 โครง การสร้างนั้นพระธรรมกรสร้างโดนตัวเอง ไม่ได้ให้ลูกศิษย์หรือใครเข้ามายุ่ง ตลอดช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะรู้ว่าพระธรรมกรต้องการที่จะลาโลกโดยการถวายหัวให้กับพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่ามีการทำเครื่องดังกล่าวขึ้นมาเพื่อจะจบชีวิตแบบนั้น
หลังจากที่เกิดเหตุแล้ว ยืนยันว่าในฐานะลูกศิษย์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายหรืออำพรางเครื่องกิโยตีน แต่ก็ไม่รู้ว่ามีใครเข้ามาช่วยในการเคลื่อนย้ายหรือเก็บหรือไม่ เพราะเชื่อว่าในวันดังกล่าวต่างคนต่างอยู่ในอาการตกใจ ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อตกใจแล้วก็จะวิ่งไปหลบในสถานที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้ การนำอาหารที่เป็นเมนูทำจากสัตว์ไปถวายให้กับพระธรรมกร ทุกครั้งที่นำปลาหรือไก่โดยมีการปรุงอาหารแล้วมีลักษณะรูปร่างเป็นตัว ไม่ได้มีการปรุงหรือตัดออกเป็นชิ้นเนื้อ เมื่อนำไปถวายพระธรรมกรจะใช้ซ่อมหรือช้อนตัดหัวให้ปลาหรือไก่ เพื่อให้หัวกับตัวแยกออกจากกัน พร้อมทั้งพูดขึ้นมาว่า "นิพพานแล้ว ขอให้ไปสู่สุคติ"
จากนั้นก็จะมีการฉัน จนกระทั่งมานึกได้ในวันที่ธรรมกรก่อเหตุขึ้นจึงเชื่อว่าเป็นหนึ่งในพิธีหรือความเชื่อที่มีการแยกหัวกับตัวออกจากกัน เป็นหนึ่งในคำสอนที่ต้องการให้หลุดพ้น
นางสาวแพร ตอบข้อซักถามและพูดคุยกับพระมหาไพวัลย์ว่า ตนเองเชื่อตามหลักคำสอนของพระธรรมกร ที่เชื่อในสิ่งที่มีการถวายหัวและเลือกให้กับพระพุทธเจ้า เป็นการสร้างบารมีที่ยิ่งใหญ่ ตนเองไม่รู้ว่าสิ่งที่พระธรรมกรทำเป็นเรื่องที่ใหญ่หรือนิทานแต่งขึ้น หรืออยู่ภายในตำราหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ แต่ยังคงเชื่อและศรัทธา แม้ว่าจะมีการตัดสินใจก่อเหตุ ตนเองรวมถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายในสำนักสงฆ์จะไม่มีพฤติกรรมเลียนแบบ มีเพียงแค่พระธรรมกรเท่านั้นที่กระทำการได้ และแม้ว่าวันนี้พระมหาไพวัลย์จะมาเปลี่ยนความคิดหรือบอกว่าการกระทำของพระธรรมกรเป็นเพียงแค่นิยายหรือนิทาน ตนเองก็ไม่เชื่อ จะเชื่อและนับถือเพียงพระธรรมกรเท่านั้น
ส่วนกรณีการสร้างเครื่องกิโยตีน ตนเองไม่รู้เห็น เกิดจากการกระทำและการสร้างเครื่องโดยพระธรรมกรคนเดียว ไม่มีลูกศิษย์คนใดเข้าไปช่วยทำ วันเกิดเหตุตนเองก็นั่งสวดมนต์ทำสมาธิอยู่บริเวณลานด้านหน้าเจดีย์ อยู่ตรงข้ามกับจุดที่เกิดเหตุ ไม่มีใครอยู่บนศาลา ไม่มีใครอยู่ใกล้กับพระธรรมกร ทุกคนจะได้ยินเสียงของหล่นพร้อมกัน จึงจะเข้ามาในสถานที่เกิดเหตุ แต่ด้วยตนเองและรวมถึงผู้ที่ปฏิบัติทำหลายคนเป็นผู้หญิงเกิดความกลัวก็เลยต้องวิ่งเข้าไปหลบในโรงครัว ไม่มีใครกล้าเข้าไปดู เชื่อว่าพระธรรมกรได้บอกให้ลูกศิษย์บางคนช่วยทำการเก็บหรือทำการรื้อถอนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ขณะที่เรื่องของรูปปั้นก็มีการจัดสร้างและปั้นโดยความคิดของพระธรรมกร เชื่อว่าเป็นการออกแบบโดยส่วนตัว นำไปให้ช่างที่มีฝีมือมาช่วยปั้นให้