วิโรจน์ อภิปรายชำแหละ งบประมาณ 65 อัด รัฐบาล ไร้สามัญสำนึก จี้ลาออก

1 มิ.ย. 64
วิโรจน์ อภิปรายเดือด งบประมาณ 65 อัด ประยุทธ์ ล้มเหลวจัดการโควิด แนะเลิกเหน็บประชาชนเลือกยี่ห้อวัคซีน ทิ้งท้าย แนะรัฐบาลลาออก
 
เพจ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความถึง กรณี ส.ส.วิโรจน์ อภิปรายร่าง งบประมาณ 65 ในช่วงวานนี้ว่า "31 พฤษภาคม 2564 Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้เเทนราษฎรในวาระเเรก ในวันเเรก โดยระบุว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 63 และเป็นรายแรกที่พบนอกประเทศจีน เกิดการระบาดระลอกแรกที่สนามมวยลุมพินี เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2563 ซึ่งอยู่ในปีงบประมาณ 2563 ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นที่ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2563 และระลอกที่ 3 เกิดขึ้นที่ สถานบันเทิงย่านทองหล่อ เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2564 ซึ่งอยู่ในปีงบประมาณ 2564
 
"นับตั้งแต่วันที่พบผู้ติดเชื้อรายแรก จนถึงวันนี้ รัฐบาลมีเวลาเตรียมรับมือกับโควิด-19 ถึง 1 ปี 4 เดือน กับอีก 18 วัน ผ่านมาแล้วถึง 2 ปีงบประมาณ พร้อมกับเงินกู้ก้อนมหาศาลอีก 1 ล้านล้านบาท มีการกันงบประมาณเอาไว้สำหรับงบด้านสาธารณสุขถึง 45,000 ล้านบาท แต่กลับเบิกจ่ายไปได้เพียง 7,103 ล้านบาท เครื่องช่วยหายใจที่ของบเอาไว้ ก็ยังไม่ได้ซื้อ งบเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาล ก็ยังไม่ได้ใช้ กับชีวิตของประชาชนรัฐบาลนี้เอามาล้อเล่น หากนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. ที่เป็นวันเริ่มต้นของการระบาดระลอกที่ 3 จนถึงเมื่อวาน วันที่ 30 พ.ค. มีประชาชนเสียชีวิตเพราะโควิดไปแล้วรวมกัน 1,012 ราย ถ้านับเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายน เป็นต้นมา เสียชีวิตไปถึง 877 คน หลายคนเสียชีวิตคาบ้าน หลายรายต้องเอาชีวิตมาสังเวยก่อนที่ผลตรวจจะออก เพราะต้องรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง และรอยา สุดท้าย คือ รอความตาย"
 
“แค่การใช้เงิน รัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่มีสามัญสำนึก จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น ไม่รู้ว่าอะไรควรเร่งด่วน อะไรควรชะลอ อะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย ถ้าจำกันได้เมื่องบประมาณปีก่อน กว่าจะตัดงบเรือดำน้ำได้ ยากเย็นแสนสาหัส ยานเกราะล้อยาง สุดท้ายก็เอาจนได้ กางเกงใน ถุงเท้า ราคาแพงเป็น 3 เท่า ถามกันต่อหน้าว่าจะซื้อมาใส่ หรือจะซื้อมากิน ก็ยังดึงดันจะซื้อ สภาพของประเทศในทุกวันนี้ เปรียบเหมือนบ้านที่พ่อแม่มาล้มป่วย ตกงาน แต่ลูกทรพีก็ยังจะตื๊อซื้อของเล่นให้ได้” วิโรจน์ กล่าว
 
วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า งบประมาณปี 2565 ประชาชนไม่ได้คาดหวังอะไรมาก เขาแค่ต้องการเห็นงบประมาณที่มีสามัญสำนึก ที่รู้ว่าอะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย แต่ที่ผ่านมาการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลนี้ ไม่เคยมีจิตสามัญสำนึก มีแต่เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย จนทำให้ประชาชนเจ็บป่วยล้มตายไปเรื่อยๆ อย่างการจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ค่าใช้จ่ายที่ถูกที่สุด ก็คือ ค่าใช้จ่ายในการป้องกัน ราคาวัคซีน AstraZeneca เข็มละ 120 บาท 2 เข็ม 240 บาท แต่พอฉีดช้า ประชาชนไม่ได้ฉีด ปล่อยให้เกิดการระบาด ไปเจอค่าตรวจ RT-PCR ปาเข้าไป 3,000 บาท นอกจากตรวจช้าแล้วยังไม่ตรวจเชิงรุก รอคิว รอผล คนป่วยกว่าจะได้เจอหมอก็มีอาการหนัก ต้องจ่ายยา Favipiravir 1 คน ต้องกิน 50 เม็ด เม็ดละ 120 บาท สุดท้ายค่ายา 6,000 เปรียบเทียบง่ายๆ วัคซีนราคา 240 บาท จ่ายยากไปเจอค่าตรวจ ค่ายา ค่าห้อง ICU รวมกันไปเป็นเท่าไหร่ต่อคน เห็นประหยัดอยู่อย่างเดียวก็คือ ค่างานศพ เพราะถ้าตายด้วยโควิด สวดแค่คืนเดียวก็เผาเลย
 
“แล้วก็ควรเลิกสื่อสารในทำนองแดกดันประชาชนที่เขาอยากจะเลือกฉีดวัคซีนได้แล้ว พอประชาชนอยากจะฉีด Pfizer ก็ไปตอบโต้ประชาชน ในทำนองว่าประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยอะไร อย่าไปเลือกวัคซีนเลย ฟังแบบนี้ตอนแรกหลงคิดว่า Pfizer เข็มละเป็นหมื่นนะครับ ที่ไหนได้ เข็มละ 600 2 เข็ม 1,200 ต่อให้ฉีดให้กับประชาชนทั้งประเทศ 67 ล้านคน แค่ 80,000 ล้านบาท ส่วน Sinovac ไม่ใช่ว่าจะถูก เข็มละ 549 บาท ถูกกว่า Pfizer 51 บาท นี่ยังไม่นับที่ CEO Pfizer ออกมาเปิดเผยว่า ถ้าประเทศรายได้ปานกลางมาขอซื้อจะลดราคาให้ด้วย ถ้าได้ราคาเท่ากับโคลัมเบียที่เข็มละ 372 บาท ใช้งบแค่ 50,000 ล้าน นี่คืองบฉีดวัคซีนที่ควรต่องเร่งจ่าย แต่รัฐบาลไม่จ่าย คุ้มหรือไม่กับความเสียหายทางเศรษฐกิจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่ามีมูลค่าสูงถึง 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน คนที่ใช้จ่ายแบบนี้มีสามัญสำนึกหรือไม่” วิโรจน์ กล่าว
 
วิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า การฉีดวัคซีนล่าช้าเพราะแทงม้าตัวเดียว เทียบกับเงินเยียวยา เราไม่ทิ้งกัน 390,000 ล้านบาท เราชนะ 210,000 ล้านบาท เรารักกัน 37,100 ล้านบาท พอการระบาดระลอกที่ 3 เกิดขึ้น ต้องเพิ่มงบให้เราชนะ เรารักกันอีก 85,500 ล้านบาท รวมกันแล้วเยียวยาไปกว่า 700,000 ล้านบาท เทียบกับวัคซีนต่อให้ฉีดไฟเซอร์แค่ 80,000 ล้านบาท หรืออย่างงบประมาณในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิดในเรือนจำ 142 แห่งทั่วประเทศ งบปี 64 กำหนดเอาไว้แค่ 750,000 บาท เฉลี่ยแล้วเรือนจำแต่ละแห่ง มีงบในการป้องกันการแพร่ระบาด เพียงแค่ 5,300 บาทต่อปี หรือเดือนละ 440 บาท สุดท้ายต้องมาเจอกับการระบาดที่คลัสเตอร์เรือนจำ จนถึงเมื่อวานนี้ นับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. ที่เพิ่งมีการรายงาน มีผู้ติดเชื้อรวมกันไปแล้วถึง 24,300 ราย บริหารอย่างนี้มีสามัญสำนึกหรือไม่
 
“สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ประชาชนอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย ไม่รู้ว่าจะได้วัคซีน หรือฟอร์มาลีนก่อนกัน คนทำมาค้าขาย SME ยิ่งทำก็ยิ่งมีแต่หนี้ มีแต่เจ๊ง มีคนตกงานไปแล้วถึง 6 ล้านคน นักศึกษาจบใหม่ 1.3 ล้านคนเคว้งหางานทำไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปี เห็นมีแต่คลองโอ่งอ่างกับบัตรคนจน การจัดทำงบประมาณในปี 2565 ไม่ต้องให้สอน รัฐบาลก็พึงต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องจัดทำโดยสังวรณ์ และต้องคำนึงถึงหัวอกของประชาชน พยายามทำให้การใช้จ่ายสอดรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค"
 
"ประชาชนเขาทนเห็นงบที่ไร้กาละเทศะ ไร้สามัญสำนึกอยู่ในงบปี 65 ไม่ได้ และนอกจากไร้สามัญสำนึกแล้ว แล้วยังจงใจอำพราง หลอกลวงประชาชนอีกด้วย ไม่ใช่อ้างว่ามีการปรับลดงบประมาณแล้วมาบอกว่าทำดีแล้ว เพราะตราบใดที่ยังมีโครงการไร้กาลเทศะซ่อนอยู่ ก็ต้องถือว่าเป็นงบที่ใช้ไม่ได้ งบประมาณฉบับนี้ รัฐบาลแกล้งไปทำตัวเลขให้ภาพรวมลด แต่พอไปเจาะไส้ใน กลับซุกซ่อนโครงการที่น่าละอายอยู่เต็มไปหมด”
 
ในส่วนงบด้านการป้องกันประเทศ ถูกปรับลดลง 10,383 ล้านบาท คิดเป็น 4.9% แต่งบสาธารณสุข และงบการศึกษา กลับถูกปรับลดลงมากกว่า งบสาธารณสุขที่จำเป็นมากๆ ต่อชีวิตของประชาชนกลับถูกปรับลดลงถึง 37,207 ล้าน คิดเป็น 10.8% งบการศึกษา ที่เป็นงบของอนาคตของประชาชน ถูกปรับลดลงถึง 26,524 ล้าน คิดเป็น 5.5% ประเทศที่ไม่ป้องกันชีวิตของประชาชน ไม่ให้ความสำคัญกับอนาคตของประชาชน แล้วจะป้องกันประเทศแบบนี้ไปเพื่ออะไร
 
ทั้งนี้ วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากที่ได้อภิปรายไปทั้งหมด งบประมาณปี 2565 ภายใต้นายกรัฐมนตรีที่ไร้สามัญสำนึก อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นงบประมาณที่ไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชน ไม่มีความหวังให้กับอนาคตของชาติ ในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องเผชิญกับความยากลำบาก ยังกล้าซุกซ่อนไปงบที่ไร้กาละเทศะไม่เห็นหัวประชาชน อยู่เต็มไปหมด เป็นงบประมาณที่ไร้สามัญสำนึก พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า ไม่อาจที่จะรับได้ และขอเรียกร้องรัฐบาลที่ไร้จิตสำนึกชุดนี้ ลาออกไป
 
"อย่ามาอ้างว่า สถานการณ์ที่ถูกรุมเร้าด้วยปัญหา ไม่ควรจะเปลี่ยนม้ากลางศึก แนะนำให้ลองก้มลงไปดูก่อน ถ้ารู้แน่ๆ ว่าที่ขี่อยู่ไม่ใช่ม้า ถ้าเปลี่ยนเป็นม้าได้เมื่อไหร่ก็คุ้ม" วิโรจน์ทิ้งท้าย

 

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม