ต่อมาที่ บ้านเลขที่ 152/2 หมู่ที่ 11 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน ม.11 นายสมศักดิ์ ศรียุภักดิ์ อายุ 45 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 11 พร้อมกับ ด.ญ.จอย(นามสมมุติ) ลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านร่วมกันเปิดเผยรายละอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
นายสมศักดิ์ นอกจากจะเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว มีอาชีพรับซื้อทุเรียนหมอนทองจากชาวสวนทุเรียนในหลายอำเภอ พร้อมด้วยภรรยามักจะออกตระเวนซื้อทุเรียนเพื่อทำไปส่งขายให้กับแม่ค้า ในการซื้อทุเรียนมักจะใช้วิธีโอนเงินจากบัญชีของตนเองไปยังบัญชีของชาวสวนทุเรียนที่ตนเองไปซื้อทุเรียน แต่มักเกิดปัญหาทางด้านการโอนเงิน เนื่องจากในหลายสถานที่ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากมือถือ จึงให้โทรศัพท์มือถือที่มีแอปฯ ของธนาคารที่ใช้เบิกจ่ายให้ กับ ด.ญ.จอย เป็นผู้ถือไว้ที่บ้าน เพราะช่วงนี้โรงเรียนปิดจึงอยากให้ลูกสาวได้ช่วยทำงานบ้างเล็กน้อย โดยแอปพิเคชั่นสามารถโอนเงินได้ ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท แต่เมื่อการค้าทุเรียนมีจำนวนมากขึ้น จึงได้เพิ่มวงเงินการโอนเป็นวันละ 500,000 บาท ถึงแม้ตนเองจะมีเงินบัญชีเพียงแสนกว่าบาท
ต่อมาเมื่อวานนี้ช่วงเย็น เมื่อกลับมาบ้าน พบว่าลูกสาวนอนร้องไห้ เข้าไปสอบถามก็ไม่พูดจา สักพักภรรยาได้เข้าเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าลูกสาวถูกแก๊งหลอกให้โอนเงิน หมดไป 330,000 บาท จนเหลือในธนาคารเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น
ด.ญ.จอย เล่าว่า ในขณะที่ กำลังเล่นเฟซบุ๊กในมือถือ ได้มีหน้าจอเด้งขึ้นมาเพื่อชวนให้ลงทุนด้วยการฝากเงิน เพียง 200 บาทจะได้คือ 1,000 บาท และสามารถถอนเงินสดได้ทันที ด้วยความอยากเห็นพ่อแม่มีเงินเยอะขึ้น จึงตัดสินใจเข้าไปคุยกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับการหว่านล้อมให้ร่วมเล่นปันเกมส์ และให้โอนเงินเข้าบัญชี ชื่อ นาตยา ปานสุวรรณ ธนาคารไทยพาณิชย์ ครั้งละหลายพันบาท พร้อมแจ้งยอดว่า มียอดที่ถอนได้หลักหมื่นบาท และคะยั้นคะยอให้โอนเพิ่มเป็นครั้งละแสนบาท พร้อมแจ้งบอกว่ามียอดที่ถอนได้ร่วมห้าแสนบาท
เวลาผ่านไปร่วม 1 ชม. ด.ญ.จอย พยายามให้แก๊งเหล่านั้นโอนเงินคืน แต่จนแล้วจนรอดแก๊งเหล่านั้นก็ไม่ยอมโอนเงินคืน จึงรู้แล้วว่าถูกหลอกให้โอนเงิน จึงนอนร้องไห้ในห้องนอน จนพ่อกลับมาจากไปซื้อทุเรียน เมื่อเล่าเรื่องให้พ่อฟัง จึงไป สภ.ละแม เพื่อให้ตำรวจช่วยแต่ก็ได้เพียงลงบันทึกประจำวัน พร้อมทั้งนัดมาให้ปากคำในวันนี้
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากกลับจากทำสวนทุเรียน เห็นลูกนอนร้องไห้อยู่จึงไปถามและบอกลูกว่าจะร้องไปทำไมเพราะโตเป็นสาวแล้ว แต่ลูกไม่พูดด้วยและเดินไปหาแม่ ต่อมาเมียของตนได้เดินมาบอกว่า เงินที่อยู่ในบัญชี โดนหลอกให้โอนไปหมดแล้ว ตอนแรกไม่เชื่อ จึงทำการตรวจจากบัญชีพบว่าเงินหายไป 334,000 บาท จึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ และวันรุ่งขึ้นได้เดินทางไปให้ปากคำกับตำรวจและเชื่อมั่นในฝีมือตำรวจไทย
เรื่องดังกล่าว เรียกได้ว่าสะเทือนใจเด็กและพ่อแม่มาก เพราะแก๊งหลอกลวงนั้นหัวใจทำด้วยอะไรที่มาหลอกเงินที่เป็นเงินก้อนเดียวในครอบครัว ของครอบครัวหนึ่ง ผมทำงานมาตลอดเป็นปีโดยที่ไม่ฉ้อโกงใคร แก๊งหลอกลวงแบบนี้ไม่น่าจะมีในเมืองไทย และขอให้คนไทยระมัดระวังตัว อย่าให้ลูกหลานเล่นอินเตอร์เน็ตเพียงลำพัง โดยเฉพาะเกี่ยวกับแอปฯ ธนาคาร ผมเชื่อในฝีมือตำรวจไทยว่า เงินของผมจะต้องได้คืน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยติดตามคดีให้ด้วย ครอบครัวผมไม่ใช่คนร่ำรวยมีเงิน ทั้งครอบครัวมีเพียงเท่านี้ นายสมศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านกล่าว ด้วยเสียงสั่นเครือ
Advertisement