นักสู้ตัวจริง "แอนนา" มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดแบบหมดเปลือกทุกเรื่องราวของชีวิต พร้อมเล่าย้อนถึงเพื่อนรักที่ชื่อ "แตงโม นิดา" กับน้ำใจที่งดงาม พร้อมเผยถึงโตมาด้วยแรงกดดันมหาศาล และรักที่อยู่กับปัจจุบันวันนี้มีความสุขก็พอแล้ว
แอนนา : นานมากตั้งแต่ปี 2549 ค่ะ ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีแรกค่ะ ตอนแรกต้องบอกก่อนนะคะว่าแอนนาเนี่ย ครั้งแรกก่อนที่จะเจอโม แอนนามีความใฝ่ฝันว่าอยากเป็นเพื่อนกับผู้หญิงคนนี้ ตอนนั้นเราติดละครที่โมเล่น ชื่อเรื่องยัยใบบ้า แล้วคือเราชอบมาก ชอบเพราะว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เรารู้สึกสบายใจจังเลยเวลาที่ดูเขาเล่น เพราะเราก็ดูนางเอกไม่กี่คนที่เราชอบ แล้วเราก็สาธุ ขอให้เราได้มีโอกาสได้เจอกับเขานะ แล้วพอดีไปเรียน เราไปลงเรียนศิลปะการแสดงประยุกต์นะคะ แล้วก็จังหวะทราบมาว่าโมก็มาลงเรียนเหมือนกัน เย็นวันนั้นก็ดีใจมากว่าจะมีคนเป็นดารามาเรียนในห้องเรา แล้ววันที่เรียนแอนนาก็จะนั่งอยู่หลังสุด โมเขาก็เดินเข้ามา แล้วก็แหวกๆแล้วบอกว่าขอนั่งด้วยนะ ก็เป็นความประทับใจว่าไม่น่าเชื่อเนอะว่าคนที่แบบเป็นดาราดัง สวย เขาจะมานั่งกับคนที่ตอนนั้นแอนนาไม่ได้ทีรูปลักษณ์อะไรแบบนี้นะคะ เป็นผู้ชายด้วยซ้ำ ออกเป็นแนวผู้ชายแล้วก็แต่งตัวเสื้อผ้าไม่ได้สวยงามเลยค่ะ ก็ตั้งแต่วันนั้นคือเราอยากสนิทกับเขาอยู่แล้ว เราก็พยายามเสนอตัวเข้าไป เธอจะไปกินข้าวไหน เธอจะทำอะไรเหรอ ซึ่งเขาก็ให้ความสนิทสนมกลับมาค่ะ แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยมี ชีวิตเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราส่งตัวเองเรียน ก็อย่างที่บอกว่าเราไปทำงานอย่างว่า เพื่อจะหาเงินมาจ่ายค่าเทอม เพื่อจะหาเงินมาเรียนหนังสือต่อ ก็ระหว่างที่เรียนโมก็รู้ว่าเราไม่ค่อยมี โมก็จะซัพพอร์ตเรา วันนี้เธอมาช่วยฉันนะ ฉันให้เธอ 500 บาท วันนี้เธอช่วยฉันนะ ฉันให้ 300 บาท เวลาไปกินข้าวบางวันเราไม่มีเงิน เราก็พูดตรงๆ สมัยก่อนเราจนมาก โมก็จะบอกว่าเอาไป 200 บาท ไปซื้อกับข้าวมา ซื้อเผื่อตัวเองด้วยนะ แล้วเรามากินกัน เหมือนเวลาท่องหนังสือค่ะ มันจะมีค่าชีทเยอะมาก ที่ต้องซีร็อกซ์ โมก็บอกเลยว่าไปซีร็อกซ์มาเลย 5 ชุด ทุกคนเอาไปหมดเลย อันนี้คือสาเหตุที่ทำให้เรามีวันนี้ซึ่งกันและกัน แล้วเราก็ดีกับเขาเพราะเขาเคยดีกับเรามาก่อน เราช่วยเหลือกันมาตลอด สมัยก่อนคือตอนที่ยังไม่มีแชตใช่ไหมคะ คุยโทรศัพท์กัน แต่ละครั้งนานมากๆ คือ 5 ชั่วโมงกว่า คุยกับแบบหลายเรื่องมาก เพราะว่าเราคุยกันแล้วเรารู้สึกว่าเราคลิกกันหลายๆ เรื่องค่ะ
แอนนา : ตั้งแต่สมัยนั้นเลยค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่าพี่วุฒิจะดูแลอยู่ แล้วโมบอกว่าฉันอยากได้คนมาช่วยแบบนี้ มาช่วยคอยติวหนังสือให้ฉัน ตอนที่ฉันถ่ายละคร เพราะว่าเวลาถ่ายละคร ฉันจะไม่ได้มีเวลามามุ่งเน้นกับการเรียนแล้ว แอนนาเป็นเพื่อนเรียน เรียนจริงๆ ค่ะ มานั่งติวให้ แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะว่าโมเรียนถึงปี 3 โมมาลาออก แล้วเกรดเฉลี่ยโมตอนนั้นก็ 3.2 กว่าด้วย เราเสียใจมากกว่า โอ้โห!! ตรากตรำเรียนมาตั้งนานแล้วทำไมอยู่ดีๆ มาลาออก ไม่ได้รู้ว่าเขาลำบาก โมเขาจะมีนิสัยแบบผู้ชายคือตรงๆ ชอบบอกชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แล้วไม่มีมาพูดเรื่องใครลับหลังหรืออะไรแบบนี้ค่ะ แล้วก็ชอบช่วยเหลือเพื่อน อันนี้คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือเพื่อนที่ดีจังเลย แล้วเราไม่อยากทำเพื่อนแบบนี้หายไป เราอาจจะมีทะเลาะกันครั้งหนึ่งตอนที่โมลาออก เราไม่เข้าใจทำไมต้องลาออกจากเรียน เราก็บอกว่าเรียนมาตั้งเยอะแล้ว ทำไมมาลาออก แต่โมไม่อธิบายไงค่ะ เขาเป็นคนไม่อธิบาย เขาเป็นคนที่มีปัญหาอะไรเขาจะไม่ค่อยอธิบาย เขาจะบอกสั้นๆ แค่ว่าฉันมีเหตุผลของฉัน จนแอนนาเรียนจบไปเป็นนักข่าวถึงได้ทราบ ตอนหลังได้เปิดใจเคลียร์กันว่าตอนนั้นเขามีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ แล้วถ้าเรียนก็จะไม่ได้รับงาน เขาบอกว่าเขาเรียนตอนไหนก็ได้ แต่สักวันเขาจะเรียนให้จบและเขาก็ทำได้จริงๆ ค่ะ
แอนนา : แอนนาพูดตรงๆ ว่าต้องเจอหลายอย่างมาก เพราะว่าบางคนก็บอกว่าระวังนะ ทางฝั่งอีกฝั่งหนึ่งเขาก็อาจจะมีอิทธิพลบ้างเราอาจจะต้องระวังเรื่องอันตรายหรือว่าอย่างเรื่องล่าสุดก็ถูกฟ้องนะคะ เราก็ต้องยอมรับว่าบางอย่าง ข้อสงสัยบางเรื่องที่เราสงสัยในตอนนั้นเราก็ต้องถาม ถ้าเราไม่ถามแทนสังคมแล้วใครจะถาม แล้ววันที่เกิดเรื่องที่มันมีปัญหาวันนั้น แอนนาก็รีบไป แอนนานั่งย้อมผมอยู่กับน้องพุดเดิลอยู่ที่ร้านทำผม บอกเขาล้างเลยพี่ สีออกมาเป็นอย่างไรหนูล้างก่อน ช่างก็บอกว่าอย่าเพิ่งๆ เดี๋ยวมีปัญหา เราก็มองว่าไม่ได้เพื่อนเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นนะคะ ก็รีบไป!! จนถึงวันนี้ แอนนาก็บอกตรงๆ ว่าเราก็เหมือนมีอาการทางจิตเวชที่ต้องไปหาหมอเพราะเราเกิดอาการแพนิก มันเหมือนตื่นมาอย่างนี้ เราจะสะดุ้งตื่นๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่หมอก็จ่ายยาที่นอนหลับให้
แอนนา : ในอดีตไม่ได้รับการยอมรับค่ะ อย่าว่าแต่การแต่งตัวเป็นผู้หญิงเลยนะคะ แค่การแสดงออกว่าเป็นผู้หญิงในโรงเรียนก็ยังผิดนะคะ แต่อาจจะมีคุณครูบางคนเข้าใจแล้วก็เมตตาเอ็นดูเรา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเมตตาเรา เราก็ต้องสู้ สู้ตั้งแต่เพื่อนในห้องเลยค่ะ เพื่อนไม่เข้าใจ ล้อกัน เราเคยโดนแรงสุดเพื่อนเอารองเท้าถอดมาแล้วก็เขวี้ยงใส่หน้าเรา โดนหน้าเรา เราก็ร้องไห้
แอนนา : ร้องไห้ เราร้องไห้ทุกวันเลย เวลากลับบ้านไปแล้วเรามีปัญหา เราไม่มีที่ปรึกษาเลยสักคน ไม่มีซ้ายขวา แต่เรามีคนข้างบ้านที่เป็นใครไม่รู้มานั่งคุยด้วยว่าเก่งจังเลย เรียนหนังสือเก่งจัง แทนที่จะเป็นคนในครอบครัว ไม่มีตรงนั้นเลย
แอนนา : ไม่เคยค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้ (เสียงเริ่มสั่น) แต่คุณแม่เขารักเรานะคะ คุณแม่เขาไม่แสดงออกกับลูก เราก็จะไม่ค่อยได้ความรักเพราะว่าอย่างวันแม่ แม่เขาก็จะจ้างวินมอเตอร์ไซต์ให้มางานวันแม่ เป็นวินมอเตอร์ไซต์ผู้หญิง แล้วเราก็กราบ สมมติว่าเป็นคุณแม่มางาน วันพ่อก็ไม่มีพ่อ
แอนนา : มัธยมค่ะ พอเราเรียนมัธยม เราเจอเพื่อนแบบเดียวกัน เราก็รู้สึกเรามีเพื่อนแล้ว ตอนประถมเราไม่มีเพื่อนเลย เพราะเราเป็นคนเดียวในห้อง พอเราไปเรียนมัธยมเราเจอเพื่อนที่เขาเป็นแบบเดียวกับเรา ทำให้เรารู้สึกว่าเหมือนโลกนี้ไม่ได้มีแค่เราเปิดมากขึ้น ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เหมือนเราได้รู้สึกว่าเรามีใครรู้สึกว่าเนี่ยเพื่อนเรา
แอนนา : ตอนจบปวช. มีการเอ็นทรานซ์ ซึ่งต้องเล่าแบบนี้ค่ะ การเอ็นทรานซ์แบบเก่าคือการสอบเป็นวิชาไป แล้วเอาคะแนนมาเทียบว่าเราได้คณะไหน ซึ่งตอนนั้นได้เกษตรศาสตร์ แล้วก็ได้ที่เอแบค ซึ่งพอเราได้แล้ว เราก็มาบอกกับที่บ้าน ที่บ้านแม่ก็พูดเหมือนประชดว่าถ้าอยากเรียนก็ขอพ่อ พ่อก็บอกว่าถ้าอยากเรียนก็ขอแม่ เราก็รู้สึกว่าสรุปเราต้องขอใคร ตอนนั้นคือเรามองว่าอนาคตของเรากำลังจะดีแล้ว เพราะเราก็ตั้งใจมาตลอด แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้มีค่าเทอม แต่แม่ก็ไม่ได้ไฟนอลให้เราว่าสรุปว่าจะจ่ายให้เราหรือไม่จ่าย แล้วตอนนั้นเราก็มีปัญหาเรื่องที่เราแต่งตัวเป็นผู้หญิง แล้วเราก็ไปเที่ยวบ่อยด้วย เพราะว่าเราติดเพื่อน เราเลยตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ก็หนีไปอยู่กับเพื่อนค่ะ ไม่เรียนเลย เอ็นทรานซ์ได้ก็ช่าง ไม่เรียนแล้ว
แอนนา : ประชดค่ะ เราประชดครอบครัว เพราะเราคิดว่าเราทำดีขนาดนี้แล้ว รู้สึกว่าทำไมเขาไม่ส่งเราเรียน ในเมื่อเราก็เรียนเก่ง ก็เลยประชดชีวิตออกไปข้างนอกเลย โดยที่ไม่บอกแม่ ออกไปอยู่ข้างนอกเลย หนีออกจากบ้านไม่บอกแม่เลยค่ะ
แอนนา : ความรักสำหรับตัวแอนนาเอง แอนนามองว่าไม่วางอนาคตไกล เราเอาแค่วันนี้ แล้ววันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากัน เอาวันต่อวันเลยค่ะ คืออยู่กับปัจจุบันเลยว่าปัจจุบันเรามีความสุข แฮปปี้พอ ไม่ต้องคิดว่าเมื่อวานเขาทำอะไร แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้เขาจะเป็นอย่างไร คิดว่าวันนี้เราดีกับเขา แล้วรักเขาก็คือพอแล้วค่ะ
แอนนา : สำหรับใครที่ตอนนี้กำลังอยู่ในความมืด ความทุกข์ อยากจะบอกว่ามันคือบททดสอบของชีวิต คนที่จะประสบความสำเร็จได้มักจะเจอปัญหาใหญ่ๆ หนักๆ มาก่อน เขาเลยกลายเป็นคนที่แก้ปัญหาเก่ง สามารถผ่านเรื่องราวต่างๆ ไปได้ ดังนั้นถ้าวันนี้คุณเจอปัญหา จงจำไว้ว่าคุณคือคนที่โชคดีแล้วคุณผ่านมันไปได้ วันข้างหน้าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิต
แอนนา : ถามแม่ค่ะว่าปลื้มใจบ้างไหมที่เราพาแม่มาถึงจุดนี้ แม่บอกว่าแม่ภูมิใจมาก แต่แม่อาจจะไม่ได้แสดงออก เราเลยบอกแม่ว่าต้องแสดงออกนะ เราจะได้รู้เพราะว่าเราไม่สามารถตัดสินใจคิดเองได้ว่าแม่ภูมิใจหรือเปล่า เหมือนกับคนดูทางบ้าน ถ้าเกิดว่าลูกจะรับรู้ไม่ได้หรอก ถ้าแม่ไม่ได้บอกว่าแม่ภูมิใจในตัวลูกนะ คำพูดแบบนี้มันเป็นแรงขับเคลื่อนให้ลูกคนหนึ่งสามารถทำอะไรได้อีกมากมายเลยนะคะ กับคำว่าแม่ภูมิใจในตัวลูก
แอนนา : ที่ผ่านมาแอนนาเต็มที่ เต็มที่มาตลอด มีหลายเรื่องมากที่แม่ไม่รู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่อยากจะบอกว่าทุกๆ อย่างที่ทำทุกวันนี้ก็คือเพื่อแม่ เพื่อแม่จริงๆ เพราะว่าถ้าเกิดเราจะต้องจากโลกนี้ไป ก็มีคนเดียวที่เราห่วงก็คือแม่ค่ะ
แอนนา : กับแม็กอาจจะไม่ได้บอกรักกันบ่อย แต่ว่าก็พูดเสมอว่ารักเรา อาจจะไม่ได้หวานกันมาก แต่ว่าเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่รับเราไว้ในหัวใจค่ะ ซึ่งตัวเราก็ไม่ใช่ผู้หญิง 100 เปอร์เซ็นต์ เราอาจจะเป็นสาวประเภทสองคนหนึ่ง ซึ่งเขาอาจจะมีสิทธิ์เลือกคนอื่นก็ได้แต่เขาก็เลือกเรา ในวันที่เราลำบาก ในวันที่เราไม่มีอะไรเลย เขาอาจจะทิ้งเราไปหาผู้หญิงคนอื่นก็ได้ แต่ว่าเขาก็ไม่ทำ ดังนั้นเราก็จะทำแบบนี้เช่นกันก็คือเราก็ไม่มีวันทิ้งเขา ไม่ว่าเขาจะต้องเจออะไรก็ตามค่ะ
สามารถชมคลิปย้อนหลังรายการ CLUB FRIDAY SHOW ทางยูทูป :
https://youtu.be/7e6V4TapC1s
https://youtu.be/SEyq4amuxdY
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "แอนนา" งัดหลักฐานโต้กลับ! หลังแม่บ้านแตงโมให้สัมภาษณ์ บอกเห็นมาแค่ช่วง 2 เดือนหลัง
- เปิดภาพ "รถฉุกเฉินแตงโม" เพื่อนรัก "แอนนา" บริจาคในนามภัทรธิดา ใกล้เสร็จแล้ว !!
- แอนนา วอนให้เรียกแค่ชื่อ ตัด "ทีวีพูล" ออก เผยไม่ได้อยู่ทีวีพูลมา 10 ปีแล้ว
Advertisement