โบว์ เบญจวรรณ เปิดใจยอมรับความจริงชีวิตต้องมูฟออน ความรัก คำสัญญา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
นักแสดงสาวสวย “โบว์ เบญจวรรณ อาร์ดเนอร์” หลังประกาศยุติความสัมพันธ์ จบความรักนานนับสิบปีกับพระเอกหนุ่ม ก๊อต จิรายุ เปิดใจชีวิตต้องมูฟออน เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะย่ำอยู่กับที่ ใช้ธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และยอมรับกับความจริงทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ในรายการ WOODY INTERVIEW
คุณโตที่เยอรมนี คิดถึงเยอรมนีไหม ?
โบว์ : เมื่อก่อนคิดถึงมากค่ะ หลังจากที่คุณพ่อเสียก็เหลือแค่เพื่อนๆ แต่หลักๆ ที่ยังคิดถึงมากๆก็คือตอนคุณพ่อยังอยู่ แต่พอเขาไม่อยู่แล้ว เราก็แค่ไว้เป็นทริปพักผ่อนแล้วกัน
ในวันที่มาไทย ตอนนั้นคงยังไม่คุ้นเคยกับธรรมะ ?
โบว์ : ไม่เลยค่ะ โบว์แค่รู้ว่าเราโตมากับ 2 ศาสนา จริงๆในบัตรประชาชนเยอรมนีโบว์เป็นคาทอลิก แต่ด้วยความที่โบว์โตมากับคุณแม่ที่เป็นพุทธ อยู่ไทยก็เข้าโบสถ์ เข้าวัด ไหว้พระ รู้แค่เท่านั้น
จุดเปลี่ยนที่เริ่มซึมซับคือตอนไหน ?
โบว์ : ประมาณ 6-7 ปีที่แล้วค่ะ ที่เริ่มฟังเวลาขับรถจะฟังคำสอนของพระอาจารย์บ้าง อะไรที่ง่ายๆ พอเราจะเข้าใจ ก็รู้สึกว่ามันมากกว่าที่เราไปทำบุญ ถวายสังฆทาน มันมีการนั่งสมาธิ ณ ตอนนั้นโบว์ก็เริ่มทำวันละ 15 นาที แต่ยังไม่ได้มีการเรียนรู้หรือยังไม่ได้มีครูที่บอกเรา จนกระทั่งเกือบๆ 5 ปี โบว์ได้มีโอกาสไปปฎิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ตอนนั้นคือแบบสิ่งที่เรียนรู้มาหรือสิ่งที่เคยเข้าใจมาเป็นศูนย์ เหมือนเราไม่เข้าใจอะไรเลย ในวันที่เราไปที่นั่นเหมือนเราเริ่มต่อเป็นรูปเป็นร่างได้มากขึ้น ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ คือการเข้าใจตัวเอง รู้ทันความคิดตัวเอง รับรู้และเรียนรู้จากความรู้สึกที่มันเกิดขึ้น ความคิดนี้ที่มันเกิดขึ้น
กับเหตุการณ์ชีวิตที่ผ่านมา คุณได้มีโอกาสใช้ธรรมะเข้ามาช่วยขนาดไหน ?
โบว์ : ไม่รู้เลยว่าถ้าโบว์ไม่ได้มีธรรมะ เหตุการณ์ครั้งนี้มันจะกระทบโบว์หนักกว่านี้หรือเปล่า คือต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะ เพราะว่าการที่มีธรรมะเป็นที่ตั้งและเป็นแนวทาง จะรู้เลยว่าอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น หรือสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้น เรารับมือกับมันน่าจะได้ดีกว่าตอนเราไม่มี คิดว่าถ้าไม่มีอาจจะหนักมากๆ เหมือนเคว้งไม่รู้ว่าเราจะต้องไปเวไหน
แต่พอเรามีธรรมะเป็นที่ตั้งเป็นที่ยึดเหนี่ยว รู้เลยว่ามันเป็นธรรมชาติทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นในเมื่อคุณเรียนรู้มาแล้วว่าไม่มีอะไรอยู่ถาวร ทุกอย่างมันคือเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มันแค่เปลี่ยนไปเราใช้ชีวิตกับช่วงแค่เวลานั้นๆ ก็โอเค ช่วงเวลาตอนนี้มันจะเป็นแบบนี้ มันไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่เคยผ่านมาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น
ช่วงที่ผ่านมามีประเด็นที่คนติดตามก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นบุคคลสาธารณะ คนที่ได้ติดตามความสัมพันธ์ก็คิดว่ามันคงตลอดไป ก่อนหน้านั้นที่ผ่านมาเวลาเราปรับจูนต้องเจออะไรบ้าง เพราะเป็นคู่ที่อิงเรื่องของธรรมะ เพราะทั้งคู่ค่อนข้างที่จะปฎิบัติเยอะพอสมควร เวลาไม่เข้าใจกันต้องจูนยังไง ?
โบว์ : ก่อนที่จะได้รับธรรมะจะเป็นอารมณ์ต่ออารมณ์เลย ใช้อารมณ์ตัวเองเป็นหลัก หลังจากที่ได้เริ่มนั่งทำสมาธิ เริ่มกลับไปพิจารณาตัวเอง ว่าเวลามีสิ่งๆ นี้เกิดขึ้นจะเริ่มตั้งคำถามว่าเรื่องนี้เกิดที่เขาหรือเรานะ หรือเราไปคาดหวังทำให้มีอาการเกิดขึ้น แต่มันก็ทำไม่ได้ตลอดที่สามารถจะปล่อยวางได้ทันที มีบ้างแหล่ะที่เราจะมีการปะทะหรือมีความรู้สึกเกิดขึ้น ส่วนใหญ่การแก้ปัญหาคือต่างคนต่างแยกไปพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเป็นอย่างนั้น ไปจัดการเคลียร์ตัวเองแล้วค่อยกลับมาเจอกัน เพราะแต่ก่อนมีการขึ้นเสียงมีอารมณ์ร้อนใส่กันเรารู้แล้วว่าแบบนั้นมันไม่เวิร์ค ไม่ดีต่อตัวเองแล้วเราก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนั้นด้วย พออยู่ในจุดๆ นี้เราพยายามใช้สติใช้ความเข้าใจ เข้าไปพูดคุยกันมากขึ้น แล้วยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็นให้ได้ก่อน
ได้เรียนรู้ได้เห็นความจริงอะไรบ้าง ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากวันที่พายุถาโถมเข้ามาใส่ พอผ่านตรงจุดนั้นไปได้กลับไปพิจารณาว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ?
โบว์ : ไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่าทำไม เกิดจากอะไร เพราะเหมือนเราเคยตั้งคำถามพวกนี้ไปแล้ว พอเราไม่ได้คำตอบให้กับตัวเองที่มันแบบเคลียร์ชัด ก็เลยคิดว่า ณ วันนี้พอเวลาผ่านไปไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปพยายามหาคำตอบกับคำถามที่มันมีอยู่ แค่คิดว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องวนกลับไปถึงคำถาม แต่เรามามองสิ่งที่เราได้รับจากเหตุการณ์ครั้งนี้มันมีอะไรบ้าง
สำหรับโบว์คิดว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คือเราเคยได้ยินคำพูดนี้มาจากคำพูดของคนหลายๆคน ที่เขาพูดมา แต่มันโดนกลับตัวเอง เรื่องที่มันค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะไปได้ดี มีความคิดว่ามันจะต้องโอเคแต่พอวันหนึ่งมันไม่โอเค
ทำให้เราคิดว่าความรักเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คำพูดเปลี่ยนแปลงได้เสมอ คำสัญญาเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทุกอย่างเปลี่ยนได้เสมอ เพราะฉะนั้นพอมันเป็นแบบนี้ทำให้เราคิดว่าบางทีเราไปยึดกับอะไรก็ไม่รู้ ว่ามันจะต้องเป็นไปตามที่สัญญานะ พอวันหนึ่งมันไม่เป็นได้แค่ยอมรับ เพราะเราไม่สามารถไปบังคับอะไรใครได้แม้กระทั่งตัวเอง เราก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
แต่ข้อดีของมันคุณแม่โบว์ได้รับการผ่าตัด 3 ปีที่แล้วกระเพาะลำไส้ เพราะฉะนั้นการกินของเขาจะไม่ค่อยดี แบบเขาจะย่อยอาหารไม่ได้ เขาจะกินต่อมื้อไม่ได้ ไม่ค่อยกินข้าว เขาจะไม่ดูแลตัวเอง แต่พอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น กลายเป็นว่าแม่โทรหาโบว์ทุกวัน วันนี้กินข้าวแล้วนะ ไม่ต้องห่วงแม่นะ วันนี้แม่กินได้เยอะเลย คือภายใต้ความวุ่นวายที่เราเจอนี่คือส่วนที่ดีนะ คนที่เรารัก คนที่เราใส่ใจ เขาขยันดูแลตัวเองมากขึ้น
คือกลายเป็นว่าเขาไม่อยากให้เราต้องเป็นห่วงเพิ่ม ก็เลยตั้งใจดูแลตัวเอง เห็นความรักจากคนที่เขารักเรา เขาพยายามแค่ไหน เป็นอะไรที่เราซาบซึ้งมากเลย หรือแม้กระทั่ง เพื่อนหลายๆ คนที่ไม่ได้ติดต่อกันแล้วอยู่ดีๆ ทักมา เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โบว์เห็นเลยนะว่าเพื่อนคนไหนรักเรามากกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ เราสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะส่วนใหญ่เพื่อนจะไม่เคยเห็นโบว์ร้องไห้ เขาไม่เคยเห็นในมุมนี้ จนกลายเป็นว่าพอเรามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพยายามมองหาอะไรที่เป็นผลดีบ้าง เพราะเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปหมดหรอก มันมี 2 ด้านเสมอ
ถ้าถามว่าทำใจได้หรือยัง ?
โบว์ : ต้องทำใจได้ค่ะ เพราะมันไม่มีประโยชน์กับการที่เราย่ำอยู่กับที่ แต่มันมีบางโมเมนต์ไหมมี เพราะว่ามันเป็นเวลานาน ความทรงจำเยอะ ทุกครั้งที่ทำให้เราอาจจะมีสะดุดกลับมาบ้างมันก็คือความทรงจำภาพต่างๆ แล้วปีนี้ก็กลายเป็นปีที่เพื่อนแต่งงานกันเยอะมากอีก (หัวเราะ) มันก็ทดสอบความแข็งแรงสภาพจิตใจเราเหมือนกัน
เคยคุยเรื่องที่จะแต่งงานกันไหม ?
โบว์ : มีคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสค่ะ โบว์ไม่ได้ซีเรียสเขาเองก็ไม่ได้ซีเรียส เหมือนทั้งคู่มีหน้าที่ๆ ยังอยากทำอยู่ เพราะฉะนั้นเราไม่เคยที่จะคุยถึงรายละเอียดขนาดนั้น ก็เลยไม่ได้ลงรายละเอียดเลย
Advertisement