โจนัส แอนเดอร์สัน ความตายใกล้แค่เอื้อม เล่านาทีนอนมองนาฬิกาชีวิต-หลังต้องเข้าผ่าตัดด่วน อาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน
ทำเอาหลายคนตกใจกันอย่างมากมายหลังล่าสุดนักร้องชื่อดังชาวต่างชาติที่หลงรักประเทศไทยอย่าง โจนัส แอนเดอร์สัน มีข่าวว่าเขาต้องผ่าตัดด่วนเนื่องจากอาการเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ซึ่งหลายคนอยากรู้หนักมากว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง และโอเคขึ้นหรือยัง รวมถึงนาทีชีวิตที่เขากำลังเผชิญหน้ากับอาการนี้ เขาเป็นอย่างไร
ล่าสุดรายการดังทางช่องยูทูบ Dailynews Live-TH อย่างรายการ Daily POP LIVE เลยไม่พลาดวีดีโอคอลหาโจนัส แอนเดอร์สัน ที่เพิ่งกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน โดยเขาเปิดใจว่า
ทักทายแฟนๆสักหน่อย?
“สวัสดีครับ วันนี้ก็เป็นการออกสื่อครั้งแรกจากบนเตียงนะครับ(ยิ้ม) ไม่เคยออกสื่อที่ไหนจากเตียงนอนผมเลยนะครับ ด้วยความที่ว่าต้องงพักผ่อนก่อนนะครับ ก็ตามนี้ก่อนนะครับ เพื่อให้ทุกคนสบายใจว่าโอเค รอดนะแต่ขอเวลาฟื้นฟูร่างกายอีกนิดนึง”
จริงๆที่มาที่ไปตอนนั้นที่ต้องเข้าผ่าตัดกะทันหันเพราะอะไร อาการเป็นแบบไหน?
“ก็เป็นเรื่องฉุกเฉินจริงๆเลยนะครับ เล่าไปเหมือนจะดราม่านะครับ แต่ผมยืนยันเลยว่าไม่มีดราม่านะครับ อันนี้คือของจริงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน วันเสาร์วันอาทิตย์ก็วันธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติ ตามแพลตเทิร์นชีวิตที่เคยทำ แล้วเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา 4 มี.ค.67 ก็ตื่นขึ้นมาแล้วออกกำลังกาย ห้องโรงยิมเล็กๆของหมู่บ้าน
แต่ว่าในขณะที่กำลังออกกำลังกายอยู่นะครับ ก็ไม่ได้หนักมากนะครับ ก็ยังอยู่ในระดับปานกลาง อยู่ดีๆก็หน้าอกนี่เจ็บมากเลยนะครับ แล้วก็เจ็บมาถึงแขนด้วยแขนซ้าย มันก็อยู่ฝั่งซ้ายรวมทั้งต้นคอด้วย แล้วก็รู้สึกเหมือนจะเวียนหัวแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นลม ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีแหละ ก็เลยนั่งลงก่อน ก็โอเคงั้นพักหายใจก่อน แสดงว่าเราอาจจะต้องสโลว์ดาวหน่อยไหม แล้วก็พอพยายามจะออกกำลังกายต่อเนี่ย มันก็ไม่ได้ดีขึ้นนะ ก็เลยคิดว่าโอเคอย่างงี้ เราไม่ดื้อดีกว่า เราจะหยุดการออกกำลังกายแล้วเราจะเดินกลับไปที่บ้าน
แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของการอ่อนเพลียแล้วก็หลับน้อยหรืออาจจะเป็นเรื่องของการท้องอืดอะไรอย่างงี้ ปรากฏว่าพอถึงบ้านมันก็ค่อยๆเพิ่มความรุนแรงไปเรื่อยๆ การเจ็บ การู้สึกไม่สบายตัว มันรุนแรงขึ้น จนเราแบบรู้สึกกระวนกระวาย มันทรมานในลักษณะที่อธิบายยาก ในที่สุดก็กำลังคิดว่าเรากำลังประสบกับการหัวใจวายรึป่าว หัวใจวายเนี่ยมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดเลยแล้วก็ไม่เคยกังวลมาก่อน แต่ปรากฎว่าวันนั้นแล้วรู้สึกว่าโอเคจะเป็นสัญญาณเตือนรึป่าวเกี่ยวกับหัวใจวาย ก็เลยตัดสินใจว่าอย่างงี้โอเคเราจะไม่รีรอแล้ว เราจะไปหาหมอ”
โจนัสเองเคยมีสัญญาณหรือปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจไหม?
“ไม่มีเลยครับ ไม่มีวี่แววเลยครับ แล้วก็ค่อนข้างมั่นนะครับ (หัวเราะ)ค่อนข้างมั่นในตัวเองว่าเราเป็นคนที่แข็งแรง เราเป็นคนที่หัวใจดี เราเป็นคนที่ดูแลสุขภาพ เราเป็นคนที่ไม่เกเร แต่มันก็มีบ้างของกินมันอาจจะไม่สมควรในวัยนี้ แต่เราก็รู้สึกว่าโอเค เราก็กินมันกินหวานน้อยกว่าเขา ก็ค่อนข้างระวังแล้วก็ออกกำลังกายด้วย ก็เลยไม่เคยมองในจุดเกี่ยวกับเรื่องของหัวใจวายได้”
ตอนที่รู้ว่าต้องผ่าตัดด่วน ตนนั้นคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร?
“สิ่งแรกคือการวัดคลื่นหัวใจก่อนนะ ซึ่งพบความผิดปกติในนั้น ต่อไปก็มีการอัลตร้าซาวด์หัวใจเราทั้งดวงเนี่ย มีกล้ามเนื้อบางส่วนที่ไม่ทำงานเลย ที่ไม่เต้นเลยอันนี้ก็เป็นอาการน่าห่วงมากๆไปแล้ว พอดูภาพรวมวินิจฉัยแล้วมันมีความน่าห่วง มีเรื่องของการอาจจะเป็นอุดตัน หรือว่าจะเป็นเรื่องของการตีบรึป่าวของเส้นเลือด อันนี้คือสันนิษฐานแรกเลยนะครับ แต่ว่าเขาก็ยังไม่ฟันธงยังไม่เคาะ ต้องขึ้นไปฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดแล้วก็วิเคราะห์อย่างแท้จริง”
กังวลหรือกลัวตอนก่อนจะผ่าตัดหรือไม่ เพราะมันเป็นเคสฉุกเฉินมีโอกาสถึงเสียชีวิตได้เลย?
“สิ่งที่รู้สึกตอนนั้นเนี่ย เหมือนคนกำลังจะจมน้ำอะครับ เวลาเราจะจมน้ำเนี่ยเราพยายามสู้เพื่อที่จะไม่จม คือเราก็พยายามจะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด กับการที่แบบว่าทรมานพอสมควร ก็พยามยามเอาให้อยู่ในจุดนั้นอะแล้วก็ไม่คิดไปไกลถึงแบบว่าจะไปไหม แต่ว่าถามว่ากลัวไหม กังวลไหม มันก็มีความกังวลเกิดขึ้น แต่ว่าแน่นอนเราก็สัมผัสได้ว่าอันนี้คือวิกฤติ คือสิ่งที่เราจะได้เห็นในซีรีส์ในหนังมากกว่า มันเป็นการสู้ชีวิตแล้วล่ะ ในการผ่าตัดเนี่ยผมรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยเราอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว เขาก็จะจัดการกับเรา มันมีสิ่งที่โชคดีหลายเรื่องนะครับเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา อันที่หนึ่งคือเรามีการสติพอที่จะตัดสินใจรีบที่จะไปหาหมอ อันที่สองช่วงเนี่ยมันพึ่งเข้าช่วงการปิดเทอมของเด็กๆเพราะฉะนั้นการจราจรมันไม่ได้ติดขัดเหมือนที่เคยเป็นส่วนใหญ่น่าถนนบางนา-ตราดเนี่ยมันจะติดแน่นมากเลย
แต่ว่ามันมีเรื่องของปิดเทอมมันก็ช่วยได้ทำให้เราเดินางไปถึงโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น ปรากฏว่าโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ปรากฎว่าผมมารู้ทีหลังว่าโรงพยาบาลเนี่ยเขาเน้นเรื่องโรคหัวใจโดยตรงด้วย เพราะฉะนั้นทั้งแพทย์ทั้งเครื่องมือมุกอย่างเนี่ยครบ ก็เลยเป็นความโชคดีที่เราวางแผนไม่ได้ ขั้นไปปุ๊บก็มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาผ่าตัด ซึ่งแผลเนี่ยนิดเดียวเองนี่คือความมหัศจรรย์ของยุคปัจจุบัน มันก็เป็นการฉีดยาชาบริเวณฝ่ามือ แล้วก็ฉีดตรงเนี่ยเพื่อที่จะฉีดสีเข้าไปก่อน แล้วสีเขาก็มีวิ่งหันไปหันมาอยู่ข้างบน
ซึ่งตลอดเวลาผมไม่ได้ดมยาสลบนะครับ ผมรู้สึกตัวและผมมีสติตลอดเลยก็จะเห็นบ้างในสิ่งที่เขาทำอยู่ ปรากฎว่าฉีดสีเข้าไปแล้วก็ยิงตัวเอ็กซเรย์ ปรากฏว่าเห็นเด่นชัดเลยว่าเส้นเลือดตัน ซึ่งอันนี้เป็นวิกฤติมากไม่ใช่โรคหัวใจทั่วไปหรือว่าหัวใจวายทั่วไป อันนี้ถือว่ารุนแรงการที่มันตันไม่ใช่ตีบนะครับ มันก็คือมันจะอยู่ไม่ได้นานถ้ามรักษาโดยด่วน ต้องไปคลี่คลายตรงนั้น ต้องระบายตรงนั้นให้ได้ ก็เลยจัดการด่วนเลยก็มีการ นำเครื่องมือเข้าไปในเส้นเลือด ยาวถึงหัวใจเลยนะครับ แล้วก็ดูดลิ่มเลือดออก แล้วมันก็ทำให้เลือดไหล ก็จัดการตรงนั้นได้ พอมีการดูดลิ่มเลือดออกมาแล้ว ก็จะมีการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดอีกทีนึง แล้วก็ใส่ทำเป็นเหมือนตะข่ายค้ำไว้ไม่ให้มันตีบลงไป”
หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว ตอนนี้รู้สึกวางใจกับอาการประมาณไหน?
“คือโล่งใจเลยเพราะว่า คือมันเราชนะไปแล้ว 70-80% ไปแล้วก็มีความสุขเพราะรู้สึกว่ามันน่าจะปลอดภัย แล้วด้วยน้ำเสียงของหมอด้วย หมอท่านนี้คือพูดภาษาอังกฤษคล่องมากเห็นว่าเป็นฝรั่ง ก็คุยภาษาอังกฤษกับผมป๋อเลยอะ แล้วเขาก็คุยกับผมอัพเดตแจ้งว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาก็บอกว่าโอเคดี เจอแล้ว ปลอดภัย แต่ก็พูดอีกทีนึงกับคำภาษาอังกฤษคำแสลงของการหัวใจวายชนิดนี้ก็คือมันหมายความว่าจะทำให้ภรรยาของคนนั้นเป็นแม่หม้าย เพราะว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยรอดกัน”
อย่างก่อนหน้านี้โจนัสเคยให้สัมภาษณ์ว่าวันที่ 4 มี.ค.67 เหมือนเป็นวันเกิดใหม่ อยากอธิบายอะไรไหม?
“ทุกอย่างมันเหมือนเป็นการค้นพบใหม่ในชีวิต ที่มาเป็นฉากๆเลย มันเป็นการเปิดที่ละฉากๆ ฉากแรกก็คือการสู้ การสู้เพื่อความอยู่รอด ฉากที่สองก็คือโล่งใจ ว่าเราต้องเผชิญกับความจริงว่าวินาทีนั้นเราตายได้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนิดเดียว สถานการณ์ที่ไม่เหมือนกับวันนั้น การที่ไม่เหมือนอันนั้นนิดเดียวก็จะเป็นวันสุดท้ายของเรา พอมันจะเป็นวันสุดท้ายมันก็เป็นวันแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ฉากที่สามคือเริ่มเห็นถึงความห่วงใย ตอนแรกผมไม่พร้อมที่จะประกาศในพื้นที่สาธารณะ ยังไม่พร้อมกับการถามการคุย ตอบโต้ แสดงความห่วงใย จะมากจะน้อยเราก็ไม่สามารถทราบได้เนาะ แต่ว่ายังไม่พร้อม วันแรกก็ยังไม่ได้โพสต์ไม่ได้บอกใคร แต่ว่าแค่กลุ่มเพื่อนสนิทจริงๆที่บอกข่าวกัน แล้วก็เตรียมแผนวิ่งมาหาเลย มีการบันทึกจากโรงพยาบาลเลยนะครับ เข้าไปเตรียมตัวผ่าตัด 9.25 น. ออกจากห้องผ่าตัด 11.25 น. อันนั้นก็คือ2ชม.”
“จากเหตุเกิดประมาณ 7โมงนิดๆ จนถึง11โมงครึ่งอันนี้คือวงจรชีวิตของโจนัส ที่แบบเหมือนตายแล้วก็เกิดใหม่ ก็คือรู้สึกตัวไม่มีการสลบแล้วก็ส่งตัวไปที่ ICU แล้วก็มีคนมาเยี่ยมประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมงก็มา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไร้ค่ามากสำหรับจิตใจ ทีนี้ฉากต่อไปก็ต่อมิตรรักแฟนเพลง ต่อสังคมที่รู้จักเราอย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ต้องทำ คือเตือนภัยกับทุกๆคน จะเป็นใครจะเป็นแฟนรือจะเป็นประชาชนทั่วไปก็แล้วแต่ ควรที่จะรู้ประสบการณ์สำคัญแบบนี้ ก็มีการปล่อยข่าวออกไป ที่นี้ก็เกินคาดคือกำลังใจ มิตรภาพที่กลับมานี่คือท่วมท้นเลย มันมตลอดต่อเนื่องไม่คาดสาย บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าเราอาจจะต้องพักด้วยนะแต่พอมองอีกมุมนึงมันก็กำลังใจซึ่งมันก็มีค่ามากกว่าหลายๆสิ่งต่อสุขภาพเราจริงๆนะ เวลามีคนแคร์เราจริงๆ คนห่วงใยเราจริงๆ คนก็หวังดีกันทุกคน ทุกคนก็อยากจะเข้ามาช่วย ก็ถามว่าต้องการอะไรไหม ต้องการอาหารไหม เรื่องเงินทองเป็นยังไงบ้าง”
“ ทีนี้ก็เป็นอีกฉากนึงนะครับยังไม่จุดจบนะครับก็มีอีกฉากนึง ฉากสุดท้ายนะครับ อันนี้ผมพูดออกสื่อเลยไม่อายเลยนะครับ โจนัสไม่ได้ทำประกันสุขภาพด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ส่วนนึงก็มาจากค่าใช้จ่าย อะไรหลายๆอย่างที่รู้สึกว่าไม่พร้อม แต่ในฐานะที่ผมเป็นฝรั่งในฐานะที่เป็นลูกจ้างของบริษัทไทย องค์ประกอบของลูกจ้างก็คือมีประกันสังคม อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนพอวันนั้นเนี่ยพอมันเป็นฉุกเฉิน เราคงไม่มีเวลาคิดว่าเราจะไปรักษาตรงไหนที่เซฟเงินที่สุด เราโฟกัสไม่ได้เพราะว่าเราต้องเอาตัวรอดก่อน ก็เลยไปที่แรกเลยเลี้ยวเข้าไปเลยไม่ได้สนใจ ซึ่งแน่นอนเอกชนมันก็ไม่เบาอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่มันเป็นเซอร์ไพร์สผมกำลังคิดอยู่ว่าเอ๊ะผมจะหาเงินยังไง ผมจะต้องขายรถไหม ปรากฏว่าวันที่ทางผู้บริหารของโรงพยาบาลมาหา เขาบอกว่าเรื่องนั้นไม่ต้องกังวลเพราะว่าทางเมืองไทยมีกองทุนฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นที่ตรงนี้เป็นที่ของเอกชน ถึงแม้ว่าสิทธิ์ประกันสังคมไม่ได้อยู่โรงพยาบาลนี้ แต่ในฐานะที่คุณมีสิทธิ์ประเภทนึง ซึ่งรวมทั้งบัตรทอง ทั้งอะไรก็แล้วแต่ ความเป็นหมอ พยาบาลเนี่ย เชาจะไม่ปฏิเสธการดูแล พอมันเป็นฉุกเฉินยิ่งเป็นชีวิตของจะเป็นจะตาย เขาจะรับรักษาโดยทันที แล้วถ้าเรามีสวัสดิการอะไรเหล่านี้จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็สามารถชดใช้ได้ในกรณีที่เป็นฉุกเฉินแบบนี้อันนี้ก็เล่าสู่กันฟัง
สำหรับประชาชนว่าเวลาที่มีอุบัติเหตุยิ่งสำคัญสุดในสิ่งที่มันเป็นเรื่องของชีวิตจะอยู่จะรอดไหม มีที่ไหนใกล้ตัวเข้าไปเลย อย่าไปคิดเรื่องเงินว่าเราจะจ่ายไหม เราจะมีไหม เข้าไปก่อนเลย แล้วแน่นอนถ้าเป็นคนไทยเราก็จะมีสิทธิ์อะไรสักอันนึงนะ ถ้าเป็นค่าประกัน หรือจะเป็นค่าอื่นๆ ในช่วงที่เป็นวิกฤติอาจจะเป็น รถคว่ำหรืออุบัติเหตุหกล้ม หัวใจวาย ทุกสิ่งที่เป็นวิกฤติที่มันฉุกเฉินเนี่ยที่ไหนใกล้ไปเลย”
จริงๆเรื่องนี้สำหรับโจนัส มันเฉียดกับความตายมากๆเรื่องนี้สอนอะไรพี่บ้างสำหรับการใช้ชีวิตต่อไป?
“ก็แน่นอนครับ ค่านิยมของชีวิตมันจะเปลี่ยนแปลง พอถึงเวลากับสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง ไม่มีคนไหนที่อยู่ได้ตลอดไป ทุกคนก็มีวันจากไป เราไม่รู้ว่ามันจะเร็วหรือช้าเราไม่รู้ว่ามันจะมาถึงเราวันไหน แต่พอเรามาเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นแล้วเรามาเข้าใกล้ความตายแบบนี้เราก็จะมามองย้อนว่าอะไรคือสิ่งสำคัญกับชีวิต บางทีเราก็ยุ่งทุกสิ่งก็ดูเหมือนกับเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องลี้ยงชีพ เราต้องทำงาน เราต้องแสวงหาโอกาส แสวงหาสิ่งที่มันเป็นยศศักดิ์ สิ่งที่เราภูมิใจ สิ่งที่มันเป็นผลงานสิ่งที่เอาชนะ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีค่าจริงๆก็คือการที่เรามีชีวิตและการที่เรามีชุมชนที่เรามีคน
ซึ่งคนอะมันเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิต เพราะฉะนั้นบทเรียนสำหรับผมก็คือ อย่ามันแต่ยุ่งให้วางความสำคัญชีวิตให้ถูกต้อง ส่วนหนึ่งในนั้นก็คือตัวเอง เราต้องรู้จักรักตัวเองด้วย เราไม่ใช่เราจะโหมงานอย่างเดียว ทำงานอย่างเดียวทุกวันๆ สุดท้ายแล้วถ้าเราจากไปสิ่งนั้นมันไม่ค่าเลย แต่สิ่งที่มีค่าที่คงอยู่คือสิ่งที่เราลงทุนในชีวิตของคนอะ ถึงเราจะตายแต่มันก็ยังคงอยู่กับคนนั้นตลอดไป”
ตอนนี้กลับมาอยู่บ้านแล้ว ต้องไปรักษาหรือพบหมอเมื่อไหร่ยังไง?
“ผมก็มีนัดติดตามก็คือวันอังคารที่จะถึงครับ ระหว่างนี้ก็มียาเต็มถุงเลย แล้วหมอก็เข้มงวดมากเลยว่าเนี่ยห้ามขาดยานะ ห้ามลืมนะ ต้องสม่ำเสมอ คือเขาก็เคยเจอกับเคสที่ว่า ขี้เกียจ ไม่อยากกิน หายแล้วแข็งแรงแล้ว ก็ไม่กินก็เท่านั้นแหละก็กลับมาหัวใจวายอีกรอบนึง คือหัวใจตีบหัวใจตันอีกรอบนึง ก็เลยเข้มงวดกับผมว่าห้ามขาดห้ามหมด และมีอะไรผิดปกติอย่าลังเล รีบเข้าไปหาหมอก่อน สิ่งที่ผมต้องยอมรับความรับความจริงก็คือ New Normalของผมก็คือการกิน ต้องปรับการกินครั้งใหญ่ เรื่องของหวานของมันต้องกินน้อยที่สุดแล้วก็ยาบางชนิดต้องกินตลอดชีวิตเหมือนกันครับ”
Advertisement