ทางรอดชีวิตพระเอก "บิ๊ก ณทรรศชัย จรัสมาส" จากดารามาขายกางเกงในหาแสง ในวันที่ชีวิตต้องดิ้นรนหาเงิน
เส้นทางสู่วงการบันเทิง
ถ้าย้อนกลับไปประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นประมาณ ม.5 ผมไปเจอพี่คนหนึ่งเขามาถ่ายรูปแล้วก็ยื่นนามบัตรให้ เขาบอกว่ามาจากอาร์เอสโปรโมชั่น นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นครับ แล้วเขาก็เรียกเราเข้าไปแคสต์ ไปร้องไปเต้นโดยที่เราไม่ได้รู้เรื่องอะไร เต้นก็ไม่เป็น แต่ทางผู้ใหญ่เขาเห็นว่าอาจจะมีแววเลยให้เซ็นสัญญาไปหนึ่งปี เราก็จะเป็นคนดังในโลกออนไลน์ เวลาไปสยามคนก็จะรู้จักในนาม พี่บิ๊ก วัดสุทธิ
พอเราหมดสัญญา พี่ที่รู้จักก็ส่งผมไปเดินแฟชั่นโชว์ งานแรกก็เกิดเลย มีรูปลงในหนังสือหัวใหญ่ๆ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้ทำงานในวงการแฟชั่น
ตามหาฝันตั้งแต่เด็ก
ตอนหางาน 3-4 งานแรกก็ไม่ท้อ แต่พอเริ่มขึ้น 10 ขึ้นไปรู้สึกว่ามันเหนื่อย คือเมื่อก่อนเราต้องนั่งรถเมล์จากบ้านที่เดอะมอลล์ท่าพระไปลงเซ็นทรัลเวิลด์ ต่อเรือคลองแสนแสบไปทาวน์อินทาวน์ ไปลาดพร้าว เรารู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางวันหนึ่งก็ร้อยสองร้อย พอไปแล้วไม่ได้ก็รู้สึกว่าท้อเหมือนกันนะ
พอเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัยสอบตรงติดที่ มศว ก็ยังแคสต์งานอยู่ แต่ตอนนั้นมันเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มากขึ้น ก็ถูกดึงไปถ่ายงานแบบไม่ต้องแคสต์ ถ่ายเอ็มวีของค่ายแกรมมี่ ตอนนั้นดีใจมาก ช่วงนั้นเริ่มเข้าปี 3 จำได้ว่าไปเล่นโฆษณากับพี่อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ตัวแรกเลยที่ทำให้เรามีชื่อเสียงขึ้นมา
จากเด็กตามล่าหาฝัน กลายมาเป็นพระรองในละคร และบทพิสูจน์ให้ต้องสู้
ตอนนั้นรู้สึกว่าเราเล่นบทอะไรก็ได้ แต่เราแค่ท้อกับความสามารถของเรา ท้อว่าทำไมเรื่องที่สองที่สามเรายังทำได้ไม่ดี จุดเปลี่ยนชีวิตประมาณเรื่องที่สามที่รู้สึกว่าพอละครออนแอร์ไปแล้ว เรามาดูตัวเองเล่น มันรู้สึกเฟลจนไม่กล้าดู อันนั้นคือจุดเปลี่ยน
พอมาเรื่องที่สี่ เหมือนได้ระเบิดความสามารถในตัวเองออกมา จนได้มาเป็นพระเอกเรื่องแรก เป็นจุดเปลี่ยนเหมือนกันนะเพราะเรื่องนั้นเราต้องร้องไห้ทั้งเรื่อง เรื่องสุดรักสุดดวงใจ เป็นละครที่ทำเรตติ้งสูงสุดในปีนั้นเลย เล่นกับพี่หนุ่ม สันติสุข มันวูบวาบนะชีวิตตอนนั้น เป็นพระเอกครั้งแรก ละครเรตติ้งดี คนรู้จักเรามากขึ้น แต่เรื่องอื่นที่เล่นคนอาจจะไม่ได้ดู
ชีวิตเคยเกือบจะพัง
เมื่อก่อนเราถ่ายละคร ถ้าละครไม่ออนเราจะไม่มีเงินใช้เลย ต้องใช้เงินเก็บที่ผ่านมา มีงานอยู่แค่อาทิตย์ละสองวัน ที่เหลือไม่มี มันรู้สึกนอยด์มากตอนนั้นจนรู้สึกจะเป็นไบโพล่าเลยนะ
ผมเคยผ่านจุดที่แย่ที่สุดในชีวิต เคยไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ ซึ่งจริงๆ มีบ้านอยู่นะ ที่บ้านไม่ได้ลำบากแต่เราไปทำให้ชีวิตตัวเองลำบากเอง ด้วยความที่ตอนนั้นติดเพื่อน ไปเช่าห้องอยู่ รู้สึกว่ามันสนุก แต่เราลืมคิดถึงอนาคตว่าเรากำลังทำงานอยู่นะ เราต้องดูแลตัวเอง พอเราไม่ดูแลตัวเอง เราอ้วน ไปถ่ายละครแล้วไม่หล่อ งานก็ได้น้อย แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันไร้ค่าจังเลย ทำไมไม่มีงานเหมือนคนอื่นเขา คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อนอกจากจะถ่ายละคร เพราะเราไม่มีเงิน จนถึงวันหนึ่งที่เราไม่มีตังค์กินข้าว เราก็ต้องถอยออกจากตรงนั้นมา กลับมาอยู่บ้าน เริ่มที่จะดูแลตัวเอง เริ่มคิดจะทำอะไร มันก็ค่อยๆ ดีขึ้น
พระเอกที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาเงิน ขายทุกอย่างแม้กระทั่งกางเกงใน!
ตอนแรกขายหมูทอด ช่วงโควิดก็หาอะไรทำ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันเหนื่อยเกินไป ตรงที่ว่าเราต้องตื่นตี 5 ไปตลาดซื้อหมูมาหมักมาทำมาทอด แล้วขับรถไปส่งเองทุกวันทุกบ้านที่เขาสั่ง ทำอย่างนั้นจนร่างกายพัง เข้าโรงพยาบาล ก็เลยไม่ทำต่อแล้ว
ช่วงนั้นผมก็มาจับพลัดจับผลูมาขายต้นไม้ งงกับตัวเองเหมือนกันนะ ทำให้เราเหมือนเกิดใหม่ เพราะในช่วงโควิดทั้งโลกมันก็เงียบเนอะ ตอนนั้นต้องบอกว่ามันเป็นงานหลัก เป็นช่วงที่ต้องเรียกว่าช่วงกอบโกยเหมือนเป็นโบนัสชีวิต ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้นไม้บูมแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่เคยหาเงินได้ขนาดนี้มาก่อน จำได้ว่าไลฟ์แรกเป็นข่าวดังเลย เขาบอกว่ากระบองเพชรมันโผล่ เพราะเวลานั่งขายต้นไม้ ผมก็นั่งเก้าอี้เตี้ยๆ แล้ววางต้นไม้ที่พื้นแล้วก็หยิบขายปกติ แต่ด้วยความที่เราใส่กางเกงขาสั้นรัดรูป มันอาจจะเห็นอะไรบางอย่าง ตื่นเช้ามานักข่าวโทรมาเต็มเลย
แล้วพอหมดโควิดเราก็มาถ่ายละครต่อ ก็ทำควบคู่กันถ่ายละคร ขายต้นไม้ ชีวิตก็วนอยู่อย่างนี้
แต่จุดเริ่มต้นมันมาจากวันนั้น มีคนหนึ่งเห็นขอบกางเกงในของผม ก็เข้ามาแซวอยากซื้อกางเกงในพี่บิ๊กจังเลย มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นตรงนั้น ผมก็บอกเขาไปว่าพี่..ผมไม่ได้ขาย แรกๆ ก็เขินนะเพราะเราไม่ได้ขายไง มานั่งคุยในไลฟ์เฉยๆ แล้วพอลงไลฟ์เราก็มานั่งคิดว่า เราก็เคยขายเสื้อผ้ามือสองของตัวเองมา กลับมาขายอีกครั้งหนึ่งได้นี่ ก็ลองเอามาขายดูแล้วก็ขายดีนะ คนดูเยอะ ซื้อของเราหมดเลย จนเราไม่มีอะไรขาย ก็เหลือแต่กางเกงใน
เขาก็ถามขายไหมพี่บิ๊ก..ตัวนี้ ผมก็เลยถามไปว่าเอาจริงเปล่า อย่าล้อเล่นกับระบบนะ จะซื้อจริงใช่ไหม จะเปิดราคานี้ไปถ้าคุณเอาก็โอนมาก่อนเลย ตอนนั้นก็เปิดไปเลย 5 พัน แล้วมีคนซื้อจริงๆ เขาบอกว่าห้ามซัก ถ้าซักราคาจะตก แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้ทำเป็นอาชีพนะที่ขายกางเกงใน
หลังจากนั้นก็เจองานแปลกๆ เช่น มีนัดไปกินข้าว ผู้จัดการผมเป็นคนรับโทรศัพท์แล้วลองเรียกไปเล่นๆ 5 แสน เขาก็ต่อเหลือ 3.5 แสนได้ไหม เราก็ตกใจ เอาจริงหรอเนี่ย แต่เราก็ไม่ได้ไป แล้วก็มีส่งข้อความมาใช้คำพูดแปลกๆ ขอมีเพศสัมพันธ์หน่อยขอดูหน่อย ซึ่งตัวผมมองว่ามันเป็นเรื่องปกติเพราะเราเองก็มาสายเซ็กซี่แล้ว
โดนดูถูก แต่จะไม่ดูถูกตัวเอง
มันก็แล้วแต่คนมองครับ บางทีมองว่าเราตกอับหรือเปล่า ทำไมมาทำแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้เดือดร้อนนะทุกวันนี้แต่ว่าผมก็ไม่ได้รวย ตื่นมาผมยังมีบ้านอยู่ มีข้าวกินมีงานทำ ผมก็แฮปปี้แล้ว แต่บางคนเขาอาจจะพูดแหละว่าก็ทำอย่างนี้ไงถึงยังไม่รวยถึงยังไม่ดัง โดนดูถูก มองเราทั้งในแง่ลบแง่บวก แต่เราก็ไม่ได้แคร์ เราปล่อยเพราะเราไม่สามารถไปหยุดยั้งความคิดเขาได้ บางทีคนทักมาเพื่อนทักมาว่ามันไม่เวิร์คนะ ซึ่งมันก็แล้วแต่เขา เราเองก็ไม่ได้ไปว่าเขา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด
การที่คนดูถูกเงินน้อย วันหนึ่งที่คุณจากเคยหาเงินได้เยอะๆ อย่างเช่นตัวผมตอนขายต้นไม้ แต่พอวันหนึ่งเราหาเงินได้น้อยลง เราจะเห็นเงินน้อยมันมีค่า ไม่ว่าจะ 1 บาทหรือ 5 บาท แล้วถ้าคุณหาเงินได้วันละ 5 บาท คุณเก็บไปสิบวันคุณก็จะได้แล้ว 50 บาท ให้คุณซื้อนู่นซื้อนี่ได้แล้ว
และนี่คือชีวิตของบิ๊ก ณทรรศชัย ที่เลือกเอง เพราะท้ายที่สุดดาราก็คือคน ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
Advertisement