จากกรณีเหตุการณ์เมื่อช่วงปี 2561 ที่ผ่านมา หลังเกิดกรณี "ซีแนม สุนทร" โพสต์ไอจี ทวงเงินดาราสาว "ดิว อริสรา" หลังไปลงทุนทำร้านเล็บด้วยกัน แต่ไม่เป็นไปตามที่ตกลง ทางด้าน ซีแนม จึงมีการถอนทุนคืน แต่ทาง ดิว อริสรา ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้ จึงมีเรื่องขึ้นถึงชั้นศาล ต้องไกล่เกลี่ยกัน
วันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับ "ซีแนม สุนทร" คู่กรณีของดาราสาว "ดิว อริสรา" โดยทางด้านของซีแนม เผยว่าตนเองไม่ได้รู้จักกับ ดิว อริสรา เป็นการส่วนตัว รู้จักแค่เพียวเป็นเพื่อนในวงการเหมือนกัน แต่ตนเองก็จะมีกลุ่มรุ่นน้องนอกวงการ ที่รู้จักกับทางด้านของ ดิว อริสรา คือน้อง ป. และ น้อง พ. แล้วในช่วงนั้นตนเองได้มีการพูดคึยกับ น้อง ป. และน้อง พ. ว่าตนเองอยากจะทำร้านทำเล็บ ซึ่งในช่วงเดียวกันนั้นทางด้านของ "ดิว อริสรา" ก็มีการทำโปรเจ็คร้านทำเล็บขึ้นมา ทางด้านน้อง ป. และน้อง พ. ก็ได้ชวนตนไป และตนเองก็ได้ไปร่วมหุ้นกับ ดิว อริสรา โดยในตอนนั้นตนเองร่วมไปแค่ 10 เปอร์เซ็น ส่วน ดิว อริสรา ถือเป็นหุ้นใหญ่ที่สุด ยอมรับว่าตอนนั้นตนคิดว่าหากได้ร่วมหุ้นกับ ดิว อริสรา ร้านอาจจะดังเร็ว เนื่องจากในช่วงนั้น ดิว อริสรา มีภาพลักษณ์ที่ดี มีชื่อเสียง และดูไฮโซ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงที่ไม่ดีของ ดิว อริสรา เลย หลังจากนั้น เมื่อร่วมหุ้นกันแล้ว ก็มีผู้ร่วมหุ้นเพิ่มมาอีก 1 คนนั้นก็คือ หนูนา ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่รู้จักหนูนามาก่อน ไม่รู้หน้าตาแบบไหน เป็นใคร เพราะในไลน์กลุ่มของผู้ร่วมหุ้นหนูนา ก็ไม่ได้อยู่
หลังจากนั้นพวกตนก็ได้มีการโอนเงินไปรวมเอาไว้ที่ ดิว อริสรา แต่ตนเองไม่ทราบว่าตัวของหนูนา ได้มีการโอนจริงหรือไม่ เพราะไม่เห็นความเคลื่อนไหว ซึ่งในฐานะของผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ดิว อริสรา ก็เป็นคนที่ไปดูทำเล เช่าตึก รีโนเวทตึกใหม่ ซึ่งตนในฐานะหุ้นเล็กในตอนนั้นก็ไปติดต่อร้านแก้ว อุปกรณ์ทำเล็บต่างๆ ที่พอจะทำได้ แต่หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่สนไปประมาณ 2-3 เดือน หลังจากมีการตกลงเช่าร้านแล้ว ร้านก็ไม่ได้มีการรีโนเวท จึงทำให้หุ้นส่วนเริ่มมีปัญหากัน ซึ่งในช่วงนั้น ดิว อริสรา ก็มีการอ้างว่า การรีโนเวทมีปัญหา จ้างช่างแล้วไม่ได้สเป็ค หลังจากนั้นช่วงสุดท้าย คือ ดิว อริสรา มาบอกว่าโครงสร้างตึกไม่ได้ ต้องเพิ่มเงินในการออกแบบ ตนเองมองว่าต้องใช้เงินเยอะเกินไป จึงได้พูดคุยว่าจะถอนหุ้น จึงมีการพูดคุยกับ ดิว อริสรา ว่าจะถอนหุ้นทั้ง 3 คนออก และให้ ดิว อริสรา หักค่าใช้จ่ายในการเช่าตึก หรือออกแบบทั้งหมดไปเลย ส่วนที่เหลือก็โอนคืนมา จะได้แยกย้ายกันไป ซึ่งยอดหลังหักค่าใช้จ่ายที่ตนต้องได้คืนในตอนนั้นประมาณ 300,000-400,000 บาท
แต่หลังจากที่มีการพูดคุยว่าจะมีการถอนหุ้นกันนั้น ก็เกิดปัญหาขึ้น โดยทางด้านของ ดิว อริสรา ได้มีการมาพูดในกลุ่มของผู้ถือหุ้นว่าตัวของหนูนา ไม่มีปัญหา แต่ทำไมคนอื่นถึงมีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งในตอนนั้นตนเองพอจะทราบว่าตัวของดิว อริสรา ได้มีการโอนเงินบางส่วนคืนหนูนา แต่ต้นก็ไม่ทราบว่ามีการโอนคืนกันจริงหรือไม่ เนื่องจากไม่เห็นสลิปโอนเงิน หลังจากนั้นตัวของดิว ได้มีการโอนเงินส่วนหนึ่งไปให้กับ น้อง พ. ซึ่งในตอนนั้นตัวของ น้อง พ. ได้มีการโทรศัพท์มาสอบถามตนว่าตนเองได้เงินคืนแล้วหรือไม่ แต่ตนก็ตอบกลับไปว่ายัง ทำให้ในตอนนั้น ดิว อริสรา ไม่ได้โอนเงินคือตน และน้อง ป. ต้นเลยมองกลับกันว่าแล้วในเมื่อคืนเงินให้กับหนูนา และน้อง พ. ได้ทำไมถึงไม่โอนคืนตน และน้อง ป. ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ตนตั้งใจทำและเก็บเอาไว้เพื่อตั้งใจจะนำมาทำธุรกิจเล็กๆ กับ ดิว อริสรา ตนเองเลยมองว่าตนควรจะได้คืน ซึ่งในช่วงนั้นก็จะจะเห็นได้ว่าตัวของตนเอง และน้อง ป. จะไปขึ้นศาล เพื่อพูดคุยกับ ดิว อริสรา
ซึ่งในช่วงนั้นยอมรับว่าเรื่องไปถึงชั้นศาล แต่เป็นแค่ขั้นตอนของการไกล่เกลี่ยกัน โดยในตอนนั้นศาลได้มีการนัดทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกัน เพื่อหาทางออก ตัวของตนและน้อง ป. เดินทางไปขึ้นศาลตามปกติ แต่ฝั่งของ ดิว อริสรา ไม่ได้เดินทางมาด้วย ส่งเพียงทนายความ และผู้จัดการส่วนตัว(หวานเจี๊ยบ)มาเท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นในชั้นศาลตนเองก็ได้แจกแจงกับทนายของฝั่งคู่กรณี ว่าเงินที่เหลือจะต้องคืนจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งในตอนนั้นทางฝั่งของคู่กรณีอ้างว่ายังมีขั้นตอนอีกหลายอย่างทำให้ไม่สามารถคืนเงินได้ ตนเองก็เลยมองว่าถ้าหากมีขั้นตอนหลายอย่างแล้วทำไมหนูนาและ น้อง พ. ถึงได้เงินคืนแล้ว ซึ่งในตอนนั้นทางทนายของฝั่งคู่กรณี ได้มีการบอกกับตนว่าห้ามโพสต์เรื่องที่พาดพิงถึงคู่กรณีอย่างเด็ดขาด และให้เงินคืนมาประมาณ 100,000 กว่าบาท พร้อมทั้งบอกกับตนว่าถ้าไม่ยินยอมรับเงินจำนวนนี้ก็ให้ไปฟ้องร้องเอาในชั้นศาล ซึ่งส่วนตัวมองว่าถ้าไปฟ้องร้องกันต้องมีค่าใช้จ่ายอีกเยอะ แล้วในช่วงนั้นพ่อของตนป่วยติดเตียง ทำให้ตนต้องเอาเงินไปรักษาพ่อ ตนจึงได้จำใจยอมรับเงินจำนวนดังกล่าว
ยอมรับว่าในช่วงนั้นหลังจากที่ ตกเป็นประเด็นกับคู่กรณีงานร้องเพลงที่ตนเคยทำก็หายไป เพราะตอนนั้นหลายคนมองว่าตนผิด และมีคนมาคอมเมนต์ต่อว่าตนเยอะมาก ทั้งบอกว่า "นังเกาะกระแสสังคม เขาไม่มีทางโกงหรอก เขารวยขนาดนั้น เขาดังขนาดนั้น" ยอมรับว่าคอมเมนต์พวกนั้นทำให้สภาพจิตใจของตนพังมาก แต่ตนก็ยอมรับว่าภาพลักษณ์ของคู่กรณีในช่วงนั้นเป็นภาพลักษณ์ที่ดีมาก หลายคนมองว่าคู่กรณีของตนน่าเชื่อถือ ภาษีดีกว่าตน และเป็นไฮโซ และไม่มีทางจะไม่คืนเงินตน
ยอมรับว่าหลังจากที่เกิดเรื่องในตอนนั้น ตนเองไม่ได้สนใจคู่กรณีอีก แต่ตัวของตนเองหลังจากเกิดเรื่องไม่เคยได้คอมเม้นท์ที่ดีๆ จากชาวเน็ตเลย เนื่องจากภาพที่ไม่ดี ยอมรับว่าหลังจากที่มีคนออกมาพูดถึงคู่กรณีของตนเองก็รู้สึกปลดล็อคมากขึ้น และได้เคลียร์ใจกับชาวเน็ต และได้รับคอมเม้นท์ที่ดีๆ มากขึ้น ยอมรับว่าในตอนนี้หลังจากที่หลายคนรู้เรื่องและมองว่าในตอนนั้นตนเองเป็นเหยื่อจริงๆ และตัวของคู่กรณีไม่ยอมคืนเงินจริงๆ ก็เหมือนตนเองพ้นผิดแล้ว และตนก็สบายใจขึ้น
ซึ่งในวันนี้ตนอยากจะบอกกับทุกคนว่าตนเองไม่ผิด อย่ามาต่อว่าตน แต่ในตอนนั้นตนเองไม่สามารถพูดได้ เนื่องจากกระแสสังคมมันโจมตี วันนี้ยอมรับว่าตนดีใจมาก ที่มีหลายคนมาคอมเมนต์บอกกับตนว่า "ดีใจด้วยนะคะที่พี่พ้นผิดแล้ว สบายใจได้นะคะ"
ยอมรับว่าที่ผ่านมาตนเองไม่เคยทำอาชีพอื่นเลยนอกจากเป็นนักร้อง แต่หลังจากโดนกระแสโจมตี ทั้งที่ตนไม่ได้ผิด ทำให้งานของตนก็หายไปด้วย ตอนนี้ตนเลยอยากจะมาขอพื้นที่ในการเป็นนักร้องของตนคืน และส่วนตัวก็ไม่เคยคิดอาฆาตคู่กรณีเลย แต่แค่รู้สึกว่ามันติดอยู่ในใจ และหดหู่ แล้วในช่วงนั้นตนก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ทำให้ตนไม่สามารถออกมายิ้มแย้มกับคนอื่นได้ แต่ในวันนี้ทุกคนก็เห็นแล้วว่าตนเองไม่ได้ผิด แต่แค่เป็นคนหนึ่งที่มาทวงความยุติธรรมของตนเองคืน
นอกจากนี้ "ซีแนม" ได้ออกมาโพสต์ข้อความบน IG ว่า "วันนี้ที่รอคอย….. ตอนนั้นคนรุมด่าแนมทั้งประเทศ ไม่มีใครเชื่อแนม งานวงการทุกงดจ้าง หายหมด ไม่มีที่ยืน ชีวิตอมทุกข์มาหลายปี รักษาซึมเศร้ามาจนถึงตอนนี้ วันนี้ขออโหสิกรรมให้กับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น" โดยมีดาราสาวคนดังอย่าง "หยาดทิพย์ ราชปาล" เข้ามาคอมเมนต์ด้วยว่า "กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ชั้นผู้เคยโดนเล่นงานมาเช่นกัน"
ภาพ : IG zeenam_m
Advertisement