นักข่าวสาวสุดแกร่ง แยม ฐปณีย์ ผู้เป็นอีกบุคคลที่มอบชีวิตและเวลา ทุ่มเททุกอย่างให้กับอาชีพนักข่าวได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนเรียกว่าเป็นลมหายใจเลยก็ว่าได้ เมื่อได้มาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club Friday Show แยม ฐปณีย์ ได้เปิดหมดทุกเรื่องราวของชีวิตในการทำข่าวแบบทุกซอกทุกมุม ทั้งเหตุการณ์เฉียดตายในงาน และการที่ต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างก่อนลงสนามเพื่อทำข่าว แต่เพราะเป็นนักข่าวที่รายงานตรงจนถึงขนาดที่โดนขู่ฆ่ามีค่าหัวขึ้นมา พร้อมเคลียร์ชัดกับคู่จิ้นในวงการข่าวที่เกิดประเด็นร้อนว่าเคยนอนด้วยกันมาแล้ว และลุ้นเจอคนที่ใช่ได้สละโสดแต่งตอนอายุ 60 ปี ตามคำทำนาย
ถาม มีความพร้อมที่จะรายงานข่าวทุกวินาที แม้ตัวตาย ต้องได้ภาพข่าว
แยม ฐปณีย์ : อย่างเรานั่งเครื่องบิน เราคิดว่าเกิดเครื่องบินตก เราก็จะคิดไว้ก่อนเลยว่า เอ๊ะ กล้องอยู่กับตัวเราหรือเปล่า แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนรู้ว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะอันตราย เราต้องคิดว่าถ้าเหตุการณ์แบบนั้น เรามีความพร้อมในการรายงานข่าวแค่ไหน กล้องเราอยู่กับตัวไหมหรืออยู่ในกระเป๋า แล้วถึงเวลา เราจะหยิบทันไหม หรือเราสามารถอัดเสียงอะไรไว้ได้หรือเปล่า เพื่อที่จะให้รู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ เราตายไป จะได้มีภาพในโทรศัพท์ จะได้ให้รายงานข่าวค่ะ คือบางทีเราก็คิดไปตามคนที่บ้าพลังค่ะ เพราะทุกวินาทีในชีวิตเรา มันกลายเป็นข่าวไปหมดค่ะ 24 ชั่วโมงของแยม เอาแค่ช่วงโควิดนี้นะคะ แยมทำงาน 3 อย่างค่ะ ในปัจจุบันยังคงทำรายการข่าว3มิติอยู่ช่วงกลางคืน และทำข่าวของ The Reporters ซึ่งเป็นออนไลน์ และก็ดูแลร้านอาหาร บ้านพี่แยม เราก็เลยต้องตื่นเช้ามาช่วยน้อง แล้วบางทีถ้าว่างเราก็ช่วยเขาไปส่งข้าวกล่อง พอเสร็จจากนั้น เราก็จะมานั่งเคลียร์ข่าว The Reporters เพราะเราเป็นทั้งบก. เป็นทั้งนักข่าวด้วย บางทีเราก็ต้องลงพื้นที่ไปไลฟ์สดในเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นด้วย และเราก็ต้องทำ 3มิติด้วยช่วงค่ำ เราก็เขียนสคริปต์ข่าวส่งข่าว 4-5 ทุ่มก็กลับมาเคลียร์งานของ The Reporters บางทีก็นอนตี 1 ตี 2 แล้วก็ตี 4 บางทีตื่นมาช่วยน้องทอดไข่ดาวค่ะ บางวันก็นอน 2 ชั่วโมง บางทีก็ 4 ชั่วโมง เพราะขนาดตอนที่นอนเราก็ยังทำงานได้(หัวเราะ) แบบบางทีเราหมดแรงเราก็นอนไป เราทำออนไลน์ เราก็ตรวจข่าวในเพจ บางทีเราก็ต้องมานั่งแก้หัวข้อข่าวหรือพิมพ์ข่าวเนี่ย แล้วเราก็หมดแรงหลับไป พอเราตื่นขึ้นมาดูเราก็ยังงงเลยว่ามีคำนี้เราพิมพ์ไปด้วยเหรอ สรุปเราพิมพ์ ตอนนั้นเราอาจจะหลับไปแล้วเราคงละเมอ (หัวเราะ) ซึ่งที่เรามีชีวิตที่เป็นแบบนี้ก็น่าจะประมาณ 20 ปีที่เป็นนักข่าวค่ะ
ถาม แล้วร้านบ้านพี่แยม มีแรงบันดาลใจจากอะไร
แยม ฐปณีย์ : เป็นคนทำกับข้าวได้ค่ะ แต่น้องชายทำอร่อยกว่า ด้วยความที่ต้องดูแลครอบครัว ภาระในครอบครัว ค่าใช้จ่ายก็เยอะ ก็เลยหาอาชีพว่ามีอาชีพอะไรสำรองบาง แล้วน้องชายเขาทำอาหารเก่ง อาหารใต้ ขนมจีน ทำอร่อย เราก็เลยเกิดไอเดียว่าถ้าทำอย่างนั้นเปิดร้านอาหาร แล้วให้น้องชายเป็นคนทำอาหาร บริหารจัดการ ก็เลยเป็นที่มาของการทำร้านบ้านพี่แยม และก็หาเงินทุนเพื่อที่จะให้ตัวเองไปทำข่าวที่ตัวเองอยากทำด้วย
ถาม แล้วอย่างเวลาตอนที่เราไปอยู่ในจุดลงพื้นที่คนเยอะแยะมากมาย อย่างตอนนั้นไปทำข่าวเรื่องการประท้วงที่ฮ่องกง ซึ่งมันมีความวุ่นวายและความรุนแรงด้วย เราจะทำอย่างไรให้เขารู้ว่าฉันเป็นผู้ประกาศข่าวนะ หรือเราแฝงตัวเข้าไปเป็นประชาชนแล้วถ่ายเลย
แยม ฐปณีย์ : ไม่ค่ะ เราไปในฐานะนักข่าว เราก็ต้องทำทุกอย่างที่นักข่าวเขาทำ ซึ่งเวลาไปแบบนี้ แยมก็ต้องประสานงานสอบถามทางสถานฑูตหรือทางหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนักข่าวที่ฮ่องกง เขาทำยังไง แล้วก็ติดต่อเพื่อนนักข่าวที่อยู่ฮ่องกง พยายามหาคนที่ติดต่อได้ และก็ให้รู้แนวปฏิบัติว่าการไปทำข่าวที่นั่นทำอย่างไร คุณต้องมีเสื้อกั๊กที่เป็นสีสะท้อนแสงแล้วก็ติดคำว่า Press เพื่อให้รู้ว่าเป็นนักข่าว พอไปถึงที่นั่น เรารู้ว่าเดี๋ยวเราต้องไปเจอการสลายการชุมนุมมีแก๊สน้ำตา เราก็จะไปหาซื้อหน้ากาก 3M หน้ากากสำหรับกันแก๊สน้ำตา ฐปณีย์คือผู้มาก่อนกาลค่ะ มีทุกอย่างก่อนที่จะได้ใช้ที่ประเทศไทย (หัวเราะ) เวลาที่ไปในสถานที่แบบนี้นะคะ เราไม่ได้ไปทำข่าวเพื่อให้เห็นว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น เราไปสะท้อนปัญหาว่าเขาออกมาทำอะไรนู่นนี่นั่น มันก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่ง เราเองมองว่าเวลาเราไปทำข่าวแบบนี้ เราอยากจะไปเพราะเราจะมีวิธีการในการที่จะมองข่าวแต่ละข่าวมันอาจจะแตกต่างจากคนอื่น มันถึงเป็นที่มาว่าทำไมอยากมาทำข่าวของตัวเอง เพราะว่าบางเรื่องเรามีมุมมองในการสะท้อนปัญหาหรือข่าวในวิธีการของเรา มันทำให้เรามีความสุข ต่อให้เราจะลำบาก ต้องอยู่แบบนี้ แต่เราได้ทำข่าวทุกวัน ข่าวได้ออกไป เราก็โอเค วันนี้มีความสุข เสี่ยงอันตรายแค่ไหนแต่พอได้ออกไปแล้วเนี่ย มันมีพลังค่ะ
ถาม อยู่ในอาชีพนี้มากี่ปีแล้วเอ่ย แล้วขอถามว่าทำข่าวที่เรารู้สึกว่าที่เราบ้าบิ่นมากจนเราเฉียดตาย หรือหวิดแล้วจริงๆ มีไหม
แยม ฐปณีย์ : ทำงานอาชีพนักข่าวมา 21 ปี ตั้งแต่ปี 2543 ถามว่าเราเฉียดตายไหม ถ้าเป็นความตายที่มาจากอาวุธเนี่ย ก็เจอมาหลายครั้ง เพราะว่าเราก็ไปทำงานเกี่ยวกับเรื่องสงคราม ทั้งที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เคย ติดตามเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปช่วงที่เขาต้องมีปะทะกับทางกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เราก็จะไปอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่ ก็มีการขว้างระเบิดสวนมา ซึ่งเราก็ใส่เสื้อเกราะเข้าไป ซึ่งตอนนั้นก็มีการยิงสวนกันไปมา เฉียดไปแค่ไม่กี่เมตร รวมถึงเรื่องของเหตุการณ์การชุมนุมหลายครั้งเราก็เจอ เช่น นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเราลุกไปสักพักหนึ่ง ก็ระเบิดลงตรงนั้นค่ะ บางทีการเฉียดกับความตายบางครั้ง เหตุการณ์มันไม่ได้มาจากอาวุธ อย่างเช่น ตอนนั้นไปที่ฟิลิปปินส์ ไปทำข่าวพายุใต้ฝุ่นไห่เยี่ยน มีคนเสียชีวิตนับหมื่นศพ เราก็ไปที่นั่นแล้วเราจะต้องหาทางที่จะเดินทางไปที่เมืองตาโคลบัน ซึ่งเป็นอีกเกาะหนึ่งค่ะ เราก็ไปได้เรือไม้ไผ่ ซึ่งเราก็ตัดสินใจไปโดยที่เราไม่ได้มีเสื้อชูชีพอะไรกันเลย เราหันไปหาทีมงานว่ากล้าไปไหม โอเคไหม เพราะว่าเราก็ต้องห่วงชีวิตของทุกคนก่อน ทีมงานก็บอกว่าเรามาถึงตรงนี้แล้วเราต้องไปให้ถึงที่เกาะนั้น เราไม่มีเสื้อชูชีพนะ ไม่มีอะไรป้องกันเลย ออกทะเลไปอีก 4-5 ชั่วโมงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทีนี้มันก็เริ่มมีฟ้ามืด เริ่มมีลมแรง แล้วเรือก็เหมือนในภาพยนตร์เลยค่ะ เรือก็เริ่มแกว่ง คนที่เรือเขาบอกว่าให้นั่งนิ่งๆ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว แต่นาทีนั้นห้ามยากเหลือเกิน เราก็บอกทีมงานว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้ลอยตัวแล้วสุดท้ายมันก็ผ่านช่วงเวลาที่ระทึกขวัญที่สุดค่ะ ซึ่งแยมมองว่ามันอยู่กลางทะเลแล้ว มันอยู่ในพื้นที่ที่มันพร้อมเกิดอันตรายมากที่สุด มันก็น่ากลัว มันไม่เหมือนกับบางทีเจอลูกกระสุนก็หลบอะไรได้นะ แต่อันนี้คือมันหลบไม่ได้เลยค่ะ
ถาม นอกจากดราม่า ขู่ฆ่าก็โดน
แยม ฐปณีย์ : เคยโดนจ้างมือปืนให้มายิงเรา แล้วมีการตั้งค่าหัวค่ะ เขาบอกว่าน่าจะประมาณ 3 หมื่นค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เราเป็นนักข่าวเด็กๆ เลยค่ะ เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่เรารู้สึกว่ามันมีจริงๆ
ถาม คนอื่นเขาคือทำงานแล้วเอาเงินไปเปิดร้านอาหาร แต่สำหรับแยมคือเปิดร้านอาหารเพื่อหาเงินมาทำงาน หาเงินเพื่อมาทำข่าว เหมือนกับการเป็นนักข่าวอยู่ในแกนกระดูกของแยมเลย เพราะว่าแยมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ออกไปทำหน้าที่เป็นนักข่าว ผู้สื่อข่าวภาคสนาม เอาจริงๆ เคยถามตัวเองไหมว่าเรามีเป้าหมายชีวิตเราคืออะไร
แยม ฐปณีย์ : เรามองว่าในชีวิตถ้าเราอยากจะทำอะไร เราเดินทาง เราทำข่าว นั่นคือความสุขของเรา เราได้ทำอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมาห่วงข้างหลังเราว่าเขาจะเป็นอย่างไร แยมก็อยากจะตื่นมาในวันหนึ่ง เพื่อที่จะออกไปทำข่าวหรือว่ารายงานข่าวให้กับผู้คนที่เขาต้องการนำเสนอปัญหาของตัวเอง หรือที่เขาเดือดร้อน และเรามีพื้นที่ให้เขาได้สื่อสารออกไป เพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องเขาได้รับทราบปัญหา แยมมองว่าแยมต้องการแค่เท่านี้ บางเราทำงานเนี่ย เราก็อาจจะแค่รายงานข่าวจบไปใช่ไหมคะ แต่แยมมองว่าบางข่าว แยมต้องการสร้างผลของข่าวนั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ถาม แต่ในการทำข่าวของแยม ก็มีคู่จิ้นเหมือนกันในวงการข่าว แต่ก็มีประเด็นว่าคู่จิ้นคนนี้ของแยมคือคนที่เคยนอนด้วยกันมาแล้วด้วย
แยม ฐปณีย์ : ใช่ค่ะ แยม เคยนอนกับเขา (หัวเราะ) นอนติดกันเลย และเราก็เป็นคู่จิ้นในวงการเหรอค่ะ คุณอนุวัต เฟื่องทองแดง (หัวเราะ) คู่จิ้นผู้มาก่อนกาลด้วยนะ สมัยเมื่อตอนประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เวลาที่เราไปทำข่าวต่างจังหวัด บางทีเสร็จงานแล้วก็ไปเที่ยวต่อค่ะ แล้วกลับเข้าห้องไม่ได้ ก็เลยไปนอนกองกันอยู่ห้องเดียวกัน 4-5 คน ที่บอกว่านอนด้วยกัน คือแค่นอนข้างกันเฉยๆ (หัวเราะ) แล้วก็ตื่นมาตกใจเพราะว่าเมา แยม มานอนข้างตอนไหนเนี่ย ทำอะไรเขาหรือเปล่า กลับกลายเป็นว่าเราไม่ได้ตกใจเขา แต่เขาตกใจเรา กับ หนุ่ม อนุวัต เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน และก็ทำงานด้วยกันตอนอยู่ ITV เขาก็จะเป็นนักข่าวเหมือนกับเราเนี่ยแหละ ออกภาคสนาม สมัยก่อนคนก็คิดว่าจิ้นกัน 2 คนนี้เป็นคู่จิ้นเป็นแฟนกันหรือเปล่า แต่ไม่ใช่นะคะ เราสนิทกัน
ถาม เอาจริงๆ นะ เราทั้งคู่เป็นคนที่เข้าใจธรรมชาติของงานหรือแม้แต่ทำงานด้วยกัน ร่วมกันลงพื้นที่ด้วยกัน จริงๆ มันก็แมตช์อยู่นะ เคยมีประกายไหม
แยม ฐปณีย์ : ไม่มีค่ะ เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ว่าสนิทกัน
ถาม เมื่อแยมบอกว่าแยมไม่ได้คิดอะไรกับเขา แต่ใครจะรู้ละว่าจิ้นกันมายาวนานขนาดนี้ เขาอาจจะคิดอะไรกับ แยม ฐปณีย์ หรือเปล่า
(VTR) อนุวัต เฟื่องทองแดง : สวัสดี คุณแยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นะครับ หลายคนอาจจะเรียก แยม ฐปณีย์ นะครับ แต่ในนักข่าวจะเรียกว่า อีแยม (หัวเราะ) คุ้นเคยกันมาเพราะว่าเริ่มงานวันแรกด้วยกัน จะบอกว่าแยมเป็นผู้หญิงที่ทรงพลัง ใช้คำนี้เลย เพราะแข็งแกร่ง บ้างาน หายใจเข้าออกเป็นงาน ต้องคิดนู่น ต้องคิดนี่ เป็นคนที่วุ่นวาย เป็นคนที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง แต่บางคนอาจจะเห็นแยมเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง บ้างาน แต่จริงๆ แล้ว แยมเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหว เป็นผู้หญิงคิดมาก เป็นผู้หญิงนิวจิ๋ว ก็คือเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตา จะเห็นแยมร้องไห้บ่อยมาก ตั้งแต่ทำงานมาด้วยกัน คิดเล็ก คิดน้อย คิดทุกเรื่องน้อยอกน้อยใจมีหมด ในอารมณ์ของผู้หญิงคนนี้ อาจจะเก็บอาการน้อยใจเล็กๆ ไว้ภายใน บางทีก็มีระเบิดมา ร้องไห้บ้างอะไรบ้างก็ปลอบใจกันไป หลายคนก็ทักว่าเป็นคู่จิ้นกันไหม โถ สาธุไหว้ล่ะ สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ รักษาสุขภาพด้วย ทุกวันนี้ยังเห็นแยมไปเสี่ยงอยู่ ก็อยากให้ระวังตัวเองเยอะๆ ดูแลสุขภาพเยอะๆ และก็ขอให้เป็นที่รักของทุกๆ คนนะจ๊ะ คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้หญิงแห่งจักรวาลนี้ที่ไม่มีใครเหมือนเธอ
แยม ฐปณีย์ : รักนะ เวลาทุกครั้งที่เราทำข่าวหรือว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของการทำงาน กลุ่มเพื่อนก็จะคอยให้กำลังใจเสมอ
ถาม แต่ถึงเป็นนักข่าวสุดสตรอง แต่ในชีวิตก็เคยอกหักร้องไห้เสียใจหนักมาก
แยม ฐปณีย์ : พังเลยค่ะชีวิตคือ ตอนนั้นร้องไห้ตลอดเวลา แล้วเหมือนตัวเองเป็นนางเอกมิวสิกวิดีโอ อาจจะนั่งรถเมล์แล้วร้องไห้ไปแล้วนั่งรถเมล์เลยป้าย มันคือเรื่องจริงค่ะ แล้วมันมีฉากที่เราเองรู้สึกแบบเหมือนในละครเลยค่ะ ที่เรากำลังเดินลงจากบันไดเลื่อนในห้างแห่งหนึ่ง แล้วเราก็เห็นเขาเดินจูงมือกันไปกับอีกคนหนึ่ง เราเห็นก็เสียใจ เพราะตอนนั้นเขาบอกเราว่าเขามีประชุมชีวิต มันก็เหมือนกับในละครเลย บางทีเราก็ฟังคลับฟรายเดย์ เรื่องของเราเนี่ยมันก็เจ็บปวดเสียใจเหมือนกัน
ถาม เห็นว่ามีหมอดูทำนายไว้ว่าจะได้แต่งงานด้วย
แยม ฐปณีย์ : เคยมีหมอดูทำนายไว้ว่าจะได้แต่งงานตอนอายุ 60 ปีค่ะ แต่ทำนายไว้ตอนเด็กๆ นะคะ พระแถวบ้าน ท่านดูดวงไว้ 2 อย่าง แยมว่าท่านแม่นนะคะ อันหนึ่งคือท่านบอกว่าเราจะเรียนไม่จบ แล้วสองก็คือว่าเราจะได้แต่งงานตอนอายุ 60 ปี แยมก็คิดนะคะว่าจะเรียนไม่จบยังไง พอแยมเรียนปริญญาตรีก็เรียนจบเนอะ แล้วก็มาเรียนต่อปริญญาโท แต่ตอนที่มาเรียนต่อโทคือพระแม่นแล้ว เพราะว่าตอนแยมเรียนที่วารสารศาสตร์ แล้วตอนนั้นแยมก็มาเป็นนักข่าว เราก็ไม่ได้ส่งวิทยานิพนธ์ เราก็เลยไม่ได้เรียนจบ เราก็เลยคิดว่าน่าจะใช่แล้วที่พระท่านดูดวงไว้ ท่านดูไว้ถูกข้อหนึ่งแล้ว แล้วอีกข้อหนึ่งแต่งงานตอนอายุ 60 ปีเนี่ยมันใช่ไหม แล้วทีนี้ในใจเราก็ลุ้นมาตลอดเวลาว่าพอมันผ่านช่วง 30 ปีแล้วตอนนั้นก็เพิ่งเลิกกับแฟนไป แล้วเราก็คิดว่าเราจะแต่งงานได้จริงๆ เหรออายุ 60 ปี แล้วตอนนี้เราก็ 44 ปีแล้ว อีก 16 ปีเราจะได้แต่งงานไหม เราก็คิดในทางนี้ว่าไม่เป็นไรตอนนี้เรายุ่งอยู่ เลยยังไม่มีสามี แต่เดี๋ยวไม่เป็นไรพระท่านว่าอายุ 60 ปี ตอนนั้นเราอาจจะเจอความรักและมีสามีก็ได้
ถาม เคยเห็นภาพของตัวเองในชุดเจ้าสาวไหม
แยม ฐปณีย์ : แยมว่าเป็นเรื่องที่สวยงามนะคะและที่ผ่านมาเราก็มองเห็นว่าคนที่เขามีความรัก ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ก็เคยเห็นคุณตา คุณยายแบบจูงมือ รักกัน แล้วก็มาแต่งงานกันอายุ 70-80 ก็มี ถามว่าเรามีความหวังไหมบางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่พระท่านว่าก็ได้ ได้แต่งงานอายุ 60 ปี รอได้ไม่เป็นไร เพราะว่าตอนนี้ยุ่งอยู่
สามารถชมคลิปย้อนหลังได้ทางยูทูป
https://youtu.be/DdDpr0K3ikU
https://youtu.be/BYaLMHKg8Uc
https://youtu.be/T8RbT1Mc4XI
https://youtu.be/_raXuTVjeroht
tps://youtu.be/ONv0Ks-IeGI
Advertisement