“ธนาธร” ชี้ “ประยุทธ์” ไปต่อ นำศาลสู่วิกฤตศรัทธา แนะเปลี่ยนระบบการเมืองให้รับใช้ประชาชน-ดึงทหารอยู่ใต้พลเรือน
วันที่ 1 ต.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณี คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียงว่า การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่กำหนดเนื่องจากชี้ว่าให้เริ่มนับวาระนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ จึงให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ว่า
[ ประเทศไทยไม่ได้ต้องการแค่นายกฯ ใหม่ แต่ต้องการระบอบการเมืองที่มีอนาคต ]
.
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ที่ให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งขึ้นสู่อำนาจผ่านการรัฐประหาร สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต่อไปจนถึงปี 2568 ไม่เพียงสร้างความคับแค้นใจให้กับประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้เท่านั้น แต่มีราคาอันแสนแพงที่สังคมไทยต้องจ่าย จากการที่พลเอกประยุทธ์ได้ไปต่อ
.
ศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงองค์กรอิสระ และระบบตุลาการทั้งองคาพยพ ต้องเผชิญวิกฤตศรัทธาจากประชาชนถูกมองเป็นเครื่องมือรับใช้ระบอบรัฐประหาร แทนที่จะเป็นสถาบันหลักของชาติ ผดุงหลักนิติรัฐ
.
อนาคตเศรษฐกิจไทยยังต้องไปต่อแบบไร้ทิศทาง ไร้นวัตกรรม เพราะขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการออกนโยบายที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศ
.
ความหวังของประชาชนในสังคม ถูกทุบทำลายลงอีกครั้ง เกิดสภาพความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความก้าวหน้า จะไม่สามารถเป็นจริงได้ในอนาคตอันใกล้
.
พลเอกประยุทธ์เอง ก็มีราคาที่ต้องจ่าย ผมถือว่าครั้งนี้ความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ ถูกใช้จนหมดหน้าตัก แม้แต่ผู้ที่เคยสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เองจำนวนไม่น้อย ก็ยังกังขาว่าคำวินิจฉัยครั้งนี้ถูกต้องตามหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ คสช. เขียนขึ้นมาเองหรือไม่
.
ทั้งหมดนี้ อาจทำให้พี่น้องประชาชนรู้สึกสิ้นหวัง และยิ่งไม่มั่นใจว่าต่อให้ประเทศมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีรัฐบาลชุดใหม่ การเมืองไทยจะยังตกอยู่ภายใต้วังวนเดิมของระบบการเมืองที่คณะรัฐประหารได้วางกับดักไว้อีกหรือไม่
.
วันนี้เราเห็นแล้วว่า เครือข่ายของขุนศึก ชนชั้นนำอนุรักษนิยม และกลุ่มนายทุนผูกขาด สามารถไปได้สุดทางทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์และสืบทอดอำนาจพวกพ้องเครือข่ายของตนเอง โดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยอนาคตหรือความเจริญก้าวหน้าของประชาชนส่วนใหญ่ ไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยการระบบการเมืองที่ฉ้อฉล ไม่สนใจว่าจะต้องแลกมาด้วยการทำลายสถาบันตุลาการและกระบวนการยุติธรรม
.
ดังนั้น วันนี้ประเทศของเราจึงไม่ได้ต้องการแค่ผู้นำคนใหม่หรือรัฐบาลชุดใหม่ ผมขอให้พี่น้องประชาชนคิดไปให้ไกลกว่านั้น ลำพังเพียงการเปลี่ยนผู้นำไม่สามารถทำให้ประเทศรอดพ้นจากระบอบการเมืองที่กัดกินประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศได้
.
จุดเริ่มต้นคือการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยประชาชนให้ได้ เพื่อยุติกลไกสืบทอดอำนาจของระบอบรัฐประหาร และเดินหน้าสถาปนาหลักการประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ
.
แต่ที่ไกลกว่านั้น เราต้องการการเปลี่ยนแปลงระดับรากฐาน
.
เราต้องการยกเลิกรัฐราชการรวมศูนย์ ไปสู่ระบบการบริหารประเทศที่ก้าวหน้า มีประสิทธิภาพ และกระจายอำนาจไปสู่ประชาชนทั้งประเทศ เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของประเทศ
.
เราต้องการระบบรัฐสวัสดิการที่ถ้วนหน้าครบวงจร เพื่อทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง พร้อมที่จะเผชิญกับโลกยุคใหม่ที่ผันผวน
.
เราต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพดีอย่างเท่าเทียมกัน ปลดปล่อยศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชน
.
เราต้องการระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้ผูกขาดอยู่ในมือของกลุ่มทุนใหญ่ แต่สร้างความเติบโตอย่างเป็นธรรมก้าวหน้าทันโลก
.
เราต้องการระบบกฎหมายที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและชีวิตทรัพย์สินของประชาชน
.
เราต้องการกองทัพที่อยู่ภายใต้พลเรือน ทันยุคทันสมัย
.
ทั้งหมดนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากเราไม่มีระบบการเมืองที่เป็นตัวแทนรับใช้ประชาชน 99% ไม่ใช่แค่คน 1% ที่อยู่บนยอดพีระมิด
ระบบการเมืองที่รับใช้คน 99% คือเป้าหมายสูงสุดของผมตั้งแต่เริ่มต้นทำงานการเมืองในนามพรรคอนาคตใหม่ และยังเป็นเป้าหมายของพวกเรามาจนถึงปัจจุบัน
.
จะสร้างประเทศไทยที่ก้าวหน้าได้ ประชาชนทุกคนต้องร่วมกัน ไม่ใช่แค่เลือกผู้นำคนใหม่ แต่เดินหน้าเพิ่มความเปลี่ยนแปลงให้สังคมในทุกๆ วัน เพื่อสร้างระบบการเมืองแบบใหม่ที่จะทำให้ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศอย่างแท้จริง
#นายก8ปี
Advertisement