จากกรณีกระแสข่าว "พรรคประชาธิปัตย์" จะมีการส่งรายชื่อ สส. เข้าชิงตำแหน่งรัฐมนตรีใน “รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ล่าสุดทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
นายเทพไท เปิดเผยว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทีที่จะเข้าร่วมรัฐบาลกับทางพรรคเพื่อไทย มาตั้งแต่ยุคของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน แล้ว โดยตอนนั้นทางพรรคประชาธิปัตย์มีการโหวตให้กับ นายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นคะแนนของทางนายเศรษฐาเพียงพอแล้ว แต่ที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ทำแบบนั้น เพราะอยากร่วมรัฐบาลด้วย
หลังจากมีอุบัติเหตุทางการเมือง ทำให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ทางพรรคประชาธิปัตย์เองก็ได้มีการงดออกเสียงในการเลือก ทั้งที่ปกติแล้วหากเป็นฝ่ายค้านก็จะต้องไม่เห็นด้วยกับการโหวตนายกรัฐมนตรีของฝ่ายรัฐบาล เหมือนกับที่พรรคประชาชนทำ แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์มีการโหวตงดออกเสียงแสดงให้เห็นว่า ต้องการจะร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ในวันนี้ตนเองจึงไม่ได้แปลกใจว่าประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่ต้องดูว่าทาง นายทักษิณ ชินวัตร จะไปชวนมาร่วมหรือไม่
แล้วการที่พรรคประชาธิปัตย์มาร่วมกับพรรคเพื่อไทย แบบนี้ ตนขอเรียกได้ว่า “โคตรข้ามขั้ว” เพราะที่ผ่านมาประมาณ 20 ปี พรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับระบอบทักษิณมาโดยตลอด และตนเชื่อว่ากองเชียร์และสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีใครสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย
แต่ต้องยอมรับว่า ในตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์เองมี สส. รุ่นใหม่อยู่ภายในพรรคค่อนข้างเยอะ ทำให้มติพรรคอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ซึ่งทางด้านของ สส. รุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ก็มองว่า ควรจะเข้าร่วมรัฐบาล เพราะจะสามารถทำอะไรได้เยอะขึ้นกว่าเดิม เพราะสามารถเข้าไปดูแลงบประมาณได้ เลยต้องทำทุกวิถีทางให้พรรคไปเข้าร่วมรัฐบาล แล้วด้วยทางด้านนายทักษิณ ก็ได้ออกมายอมรับว่า เลขาธิการของพรรคประชาธิปัตย์ได้ไปดีลกับคุณทักษิณถึงฮ่องกง
เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดคือ เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวว่า หลังจากที่พรรคพลังประชารัฐแตกออกเป็นสองขั้ว ทางด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ได้เข้าไปพบ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพูดคุยและจับมือให้จำนวน สส. เท่ากับที่เสียไป และได้มีการแบ่งโควตารัฐมนตรีกัน แต่บางกระแสข่าวก็บอกว่าทางพรรคประชาธิปัตย์เองมีการเสนอชื่อรัฐมนตรีไปแล้วก่อนหน้านี้ ตนเองจึงมองว่าการกระทำแบบนี้น่าจะมีการเตรียมการมาก่อน
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการส่งรายชื่อ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรค และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรค เข้าชิงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ถ้าหากว่า มีการให้โควตารัฐมนตรีมาเพียง 2 คน ทั้ง 3 คนนี้ ก็ต้องไปตกลงกันว่าใครจะเข้าไปชิง แต่จากกระแสข่าวออกมาว่า ทางด้านของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคน่าจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ และให้ทาง นายเดชอิศม์ ขาวทอง ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรค เป็นรัฐมนตรีช่วย หลังจากนี้ก็ต้องมาดูกันว่าอีก 1 คนที่พลาดไปนั้นจะยินยอมหรือไม่
ตอนนี้ก็ต้องมาดูกันว่า ภายในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างรองหัวหน้าพรรค กับเลขาธิการพรรคใครจะได้เป็นรัฐมนตรีช่วย แต่จะไปอยู่ในกระทรวงไหนก็ต้องมาดูกันอีกที แต่ตนมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจในการต่อรอง เพราะการที่เขาเปิดโอกาสให้ก็ถือว่า “เป็นบุญมากแล้ว”
นอกจากนั้นทีมข่าวได้สอบถามต่อว่า หลังจากนี้จะกังวลหรือไม่หากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์จะหายไปหรือลดน้อยลงหลังหลังไปเข้าร่วมกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทางด้านของนายเทพไทย เผยหลังจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะมีปัญหากับฐานเสียงสนับสนุน เพราะก่อนหน้านี้ทางพรรคประชาธิปัตย์เองมีอุดมการว่า จะไม่สนับสนุนเผด็จการทุกรูปแบบ และการต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ในวันนี้กลับมาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ต้องมาดูกันว่าในวันข้างหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะเหลือฐานเสียงอีกกี่คน ส่วนเรื่องที่นายชวน หลีกภัย ออกมาพูดว่าจะไม่เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าหากว่ามติพรรคไปในทางไหนก็จะเห็นด้วยกับมติพรรค ตนเองต้องบอกก่อนว่าในพรรคประชาธิปัตย์เอง หากว่ามติพรรคไปในทางไหน คนในพรรคก็ต้องเห็นด้วยกับมติพรรค แม้ว่าส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นเหมือนรัฐบาลจับฉ่าย และเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ตั้งขึ้นมาด้วยอุดมการทางการเมือง หรือจุดยืน และนโยบายที่เหมือนกัน แต่เป็นการจัดตั้งแบบการฮั้วทางการเมือง โดยจะเห็นได้ชัดจากการพูดคุยกันในการจัดตั้งรัฐบาลไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดคุยเรื่องของนโยบาย หรืออุดมการของรัฐบาลเลย แต่คุยกันเรื่องของเก้าอี้รัฐมนตรี และพรรคไหนจะได้ไปกี่กระทรวง และไปอยู่กระทรวงไหน แต่กลับคุยกันเรื่องของผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ของนักการเมืองล้วนๆ ประชาชนจึงแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากการตั้งรัฐบาลชุดนี้เลย
ตนเองจึงตั้งคำถามว่า ”การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองกับพรรคการเมือง คุณไม่เห็นหัวของประชาชนเลยหรือ“ แล้วถ้าหากรัฐบาลเป็นแบบนี้ ในอนาคตหากมีการขัดแข้งขัดขากันก็ทะเลาะกัน แล้วนโยบายก็ต่างคนต่างทำไม่มีการพูดคุยถึงประโยชน์ของประชาชน ตนเองจึงมองว่ารัฐบาลยุคนี้จะรอดหรือไม่ อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
Advertisement