วันที่ 21 พ.ย. 67 ที่โรงแรม The Ritz Carlton, One Bangkok ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมกิจกรรมการสนทนาแบบ one-on-one ในกิจกรรมของ Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22
โดยนายกฯ ได้พูดคุยตอบคำถาม น.ส.มอร์รา ฟอร์บส์ รองบรรณาธิการผู้จัดการฟอร์บส์ มีเดีย
นายกฯ กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นนายกฯ ตนได้พูดคุยสร้างความเชื่อมั่นให้คนเข้าใจว่าเราอยู่ที่ไหน เพราะการลงทุนสำหรับประเทศไทยตอนนี้มีความสำคัญมาก หลายทศวรรษแล้วที่ประเทศไทยไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดคิดไว้ เราจำเป็นต้องมีแหล่งรายได้และแหล่งลงทุนใหม่ๆ ซึ่งตรงนี้เราต้องทำหลายๆ อย่างไปพร้อมๆกัน ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี วางแผนในการเชิญนักลงทุนมาลงทุนที่ประเทศไทย ถ้าเราได้ยินข่าวมี Google และ Microsoft ที่จะมาลงทุนในไทย เดือนแรกที่ตนกลายเป็นนายกฯ มีนักลงทุนที่เขารู้สึก และยังตั้งคำถามว่ายังลงทุนในประเทศไทยได้หรือไม่ และนโยบายยังคงเดิมหรือไม่ แต่เราอยู่พรรคเดียวกันและมีความใกล้ชิดกัน ดังนั้นในฐานะรัฐบาล ตนอยากดำเนินนโยบายเรื่องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และจากการพูดคุยกับซีอีโอหลายๆ ท่าน ตนบอกว่ารัฐบาลสนับสนุนเต็มที่สำหรับการลงทุน และตอนนี้เรายังมีอีกหลายดีล และอีกหลายอันที่ยังอยู่ในการเจรจา ยังเปิดเผยไม่ได้ และบางดีลลงทุนในประเทศไทยไปแล้ว และอยากจะลงทุนเพิ่ม เช่น Google กับ Microsoft
ประเทศไทยดีขึ้นแล้ว หากการเมืองมีเสถียรภาพ ทุกอย่างก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น จะเกิดความเชื่อใจ เชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งตนคิดว่าจะต้องสร้างความมั่นใจทั้งในประเทศและนอกประเทศก่อน ทำให้คนไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลว่ารัฐบาลสนับสนุนจริงๆ ในการทำธุรกิจใหม่ และในประเทศนี้ 75% เป็นเอสเอ็มอี ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนโยบายของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องเอสเอ็มอี เช่น การให้กู้ยืมเงินซอฟต์โลน และโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่เราดำเนินการเฟส 1 ไปแล้ว และเฟสที่ 2 จะให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะเรามองว่าคนกลุ่มนี้เขาได้เงินไปแล้วจะใช้ทันที เพื่อให้เงินสะพัด ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมต้องมาลงทุนในไทยนั้น เพราะที่ตั้งของเราเป็นศูนย์กลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราผลิตอาหารได้ดี จะผลักดันเรื่องการส่งออกอาหาร และหลายคนตอบรับจึงเป็นจังหวะดีที่จะมาลงทุนในไทย
ผู้ดำเนินรายการสอบถามว่าเวลาไปต่างประเทศ เวทีต่างๆ คำถามแรกที่ถูกถามเกี่ยวกับมุมมองวิสัยทัศน์เป็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คำถามแรกที่เจอบ่อยคือพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ตนพยายามตอบในมุมของธุรกิจ แต่คำถามที่สองที่ตามมาคือคุณอาเป็นอย่างไรบ้าง เป็นแบบนี้ตลอด แต่เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้ยินเสียงคุณพ่อแล้ว ตนคิดว่าคนยังมองไม่เห็นเมืองไทย แต่เรามีของดี เช่นเรื่องงานฝีมือที่มีคุณภาพแต่ราคาไม่สูง ตนอยากพัฒนาตรงนี้ให้แรงงานไทยมีค่าแรงที่สูงขึ้น เพราะงานแต่ละชิ้นเป็นงานฝีมือ เวลาไปต่างประเทศตนก็จะพยายามใส่ผ้าไทย ตนเป็นตัวของตัวเองตลอด ใส่สิ่งที่ตัวเองชอบและเลือกเสื้อผ้าของตัวเอง เลือกผ้าไทยผสมกับแบรนด์ไฮเอนด์ เพื่อนำเสนอเมืองไทยในแบบที่ตนรู้สึกภูมิใจ
เมื่อถามว่ามองประเทศไทย 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า การศึกษาอยากให้ทุกคนปรับตัวและเรียนรู้ภาษาที่สองมากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาษาอังกฤษ แต่ต้องเป็นภาษาที่เราต้องเรียน เราจะเป็นประเทศที่พร้อมไปด้วยธุรกิจสำหรับอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นโยบายนี้อีก 5 ปี จะได้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และในอนาคตพวกเรามั่นใจได้เลยว่าการเมืองมั่นคงแน่นอน มีเสถียรภาพแน่นอน ทุกคนอยากเห็นประเทศก้าวหน้าในระยะยาว ตนคิดว่าในอีก 5 ปี ผู้คนจะหนีจากประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลางได้ โดยรัฐบาลวางแผนไว้ 10 ปี ว่าจะสร้างรากฐานให้กับประชาชน ไม่ว่ารัฐบาลเปลี่ยนหรือนายกฯ เปลี่ยน อยากให้นโยบายพื้นฐานยังอยู่กับประชาชน ประโยชน์เหล่านี้อยู่กับประชาชนให้นานที่สุด อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ตนไม่อยากให้ประโยชน์หมดไปอยู่ที่รัฐบาล หมดชุดหนึ่งก็จบ ไม่ได้ ตนอยากจะสร้างรากฐานเข้าไปให้รากยาว แบบนโยบายที่สร้างขึ้นวันนี้ พยายามจะให้อยู่ยาวตลอดไป และตนมั่นใจว่าจะเห็นได้แน่นอน
นอกจากนี้นายกฯ ยังกล่าวถึงบทบาทของไทยและสหรัฐฯว่า ตอนที่ได้พูดคุยกับตัวแทนของสหรัฐและจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ได้นำเสนอตัวเองในฐานะทูตของสันติภาพ และความมั่งคั่ง นี่คือหลักการของประเทศไทย คือความสงบ สันติ และความมั่งคั่ง
Advertisement