วันที่ 18 ธ.ค.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวถึงบทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการเป็นผู้ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ.พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ต่างๆว่า จากคำพูดของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา วานนี้ ที่ออกมาระบุว่าได้พานายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้งและนางสาวณภาภัช อัญชสาณิชมน หรือ สจ.จอยเข้าพบนายทักษิณ ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่กี่วัน ทั้งนี้หากรู้อยู่แล้ว ว่าสนามเดิมนั้น เป็นของนายสุนทร วิลาวัลย์ ซึ่งอยู่พรรคภูมิใจไทย ความสัมพันธ์ระหว่าง สจ.โต้งและนายสุนทร เป็นพ่อลูกบุญธรรม จึงนำพาไปสู่ความสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ฉะนั้นการเมืองส่วนท้องถิ่น ชัดเจนว่าการเข้าในลักษณะตีท้ายครัว นำไปสู่ความเสียหาย และเรื่องนี้นำไปสู่จุดจบแบบนี้ และหลายพื้นที่ก็กำลังจะเดินไปในลักษณะนี้เช่นกัน
ซึ่งความเป็นจริงการเมืองท้องถิ่น พัฒนากันมาระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็กลับไปสู่จุดเดิม แนวเรื่องการใช้ความรุนแรง และที่สำคัญนโยบายปราบผู้มีอิทธิพล คือนโยบายต้อนเข้าคอก เพราะบ้านใหญ่มีเจ้าของเดิม ถ้าจะย้ายค่ายต้องถูกกดดัน ดังนั้นจะเป็นการยิ่งสร้างปัญหา และปัญหาทั้งหมดก็มาจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ดังนั้นตนเห็นว่า ยิ่งนายทักษิณ เดินมากเท่าไหร่ ความวุ่นวายในระดับต่างๆ ตั้งแต่ท้องถิ่น ถึงระดับชาติ รวมถึงยังมีเรื่องระหว่างประเทศไปด้วย จะยิ่งสร้างความเสียหาย เช่นการไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน แต่ในประเทศไทย นายทักษิณ ต้องคดีทุจริตและยอมรับว่าทุจริตจริง รวมถึงต้องคดีมาตรา 112 ดังนั้น ความหมายรัฐบุรุษ ในสายตาของคนไทย กับสายตาของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นคนละเรื่องกัน
และที่สำคัญคือศาลอาญายังไม่เคยอนุญาตให้นายทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ ในคดี 112 ดังนั้นปัญหา คือหลังจากเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หลังจากวันที่ 3 มกราคม 2568 ไปแล้ว จะมีการขอออกนอกประเทศ ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา นายทักษิณเคยขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ ศาลเคยอนุญาตและดำเนินการหลบหนี อยู่ต่างประเทศ 17 ปี ซึ่งที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เคยเดินทางเข้าประเทศไทย พบกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น และมีการพบเจอกับนายทักษิณระหว่างพักโทษ ซึ่งอาจมองได้ว่าเป็นการเมืองน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องของประเทศชาติ
ขณะเดียวกัน นายจตุพร ยังระบุถึง กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง กรณีกล่าวหารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ เรื่องคดี เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ เลิกการกระทำที่เป็นอันล้มล้างการปกครอง โดยมองว่าเป็นลักษณะเดียวกับที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร เคยยื่นร้องก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่รับคำร้อง ส่วนเป็นคนละประเด็นกับที่ กสม.ยื่นร้องมาที่ ป.ป.ช.
ส่วนการที่นายทักษิณ พูดบนเวที สัมมนาพรรคเพื่อไทยถึงพรรคร่วมรัฐบาล จะเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ นายจตุพรมองว่า หากใครที่รู้จักนายทักษิณ วันที่ไปขึ้นเวทีปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานี ก็ได้มีการฟาดนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เรื่องของการรื้อโครงสร้าง ซึ่งวันนั้นก็เป็นการรอผลจากศาลรัฐธรรมนูญ และวันที่ไปพูดในที่สัมมนาพรรคเพื่อไทย ก็เป็นการรอผลจาก ป.ป.ช.เช่นกัน ซึ่งการพูดคำรามเคยได้ผลหรือไม่ พรรครวมเองย่อม มีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอสมควร ซึ่งทุกคนเขารู้ว่าไม่ใช่ลูกไล่นายทักษิณ พร้อมย้ำว่าการที่นายทักษิณ ออกมาคำราม กับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
Advertisement