วันที่ 24 ธ.ค. 67 ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111นาย สนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมด้วยนาย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมวลชนจำนวนมาก เดินทางมาติดตามความคืบหน้า จากกรณีที่เคยยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อคัดค้าน และขอยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา
โดยนายสนธิ กล่าวว่า ที่เรามาวันนี้ เพราะไม่ยอมรับคำตอบของปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะตอบแบบง่ายๆ เราขอให้เขาให้คำตอบเราอีกครั้งหนึ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน และจุดยืนของพวกเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียว เราถามง่ายๆว่าระหว่าง MOU 2544 และ JC 2544 กับไม่มีอันไหนจะดีกว่า
ซึ่งตนก็แสดงความเห็นใจข้าราชการหลายฝ่าย ทั้งกระทรวงต่างประเทศ สภาความมั่นคง ทหาร และการเมือง จนสรุปได้ว่าทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่คุยกันภายในเฉพาะผู้เชี่ยวชาญ และข้อมูลที่คุณพูดมาไม่ครบ ดังนั้นปีหน้า การเดินหน้าของเราต่อไปทุกเรื่องที่เกี่ยวกับชาติบ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไป ด้วยมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โดยมีนายปานเทพ เป็นประธานมูลนิธิฯ และมีที่ปรึกษาหลายคน ซึ่งก็มีแพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตสว. และนายคมสัน โพธิ์คง ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายปกครองประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง MOU 2544 เท่านั้น ประเทศไทยคือการเอาเท้าขยี้กฎหมาย เช่นกรณีชั้น 14 กรณีเขากระโดง และที่สำคัญที่สุดกำลังจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในปีหน้า ประเทศไทยจะล่มสลายก็เพราะปัญหาต่างด้าว และคนที่ชักศึกเข้าบ้านในเรื่องปัญหาต่างด้าวคือ พรรคประชาชน
ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า วันนี้พวกเราไม่ได้เกณฑ์กันมา แต่อาสามากันเอง เพื่อมายื่นหนังสือ ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลในวันนี้ บันทึกไว้ว่ามีพี่น้องประชาชนมาร่วมลงนามทวงถาม ภายหลังยื่นหนังสือครบ 15 วัน ในการยื่นหนังสือให้เพิกถอน MOU 2544 สาเหตุที่เรามายื่นหนังสืออีกครั้งในวันนี้ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลตอบไม่ตรงคำถามในเรื่องที่เราถาม ซึ่งเราถามไป 6 ข้อว่าให้รักษาอธิปไตยของชาติ และขอให้นายกฯ นำเรื่องเข้าสู่ ครม. เพื่อลงมติยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในการทำ MOU 2544 และ JC 2544 ซึ่งเราขอให้เพิกถอน MOU 2544 และ JC 2544 ขอให้ยุติการตั้งคณะกรรมาธิการทางเทคนิคระหว่างไทย-กัมพูชา ด้านทะเล หรือ เจทีซี เอาไว้ก่อน และขอให้เปิดเวทีสาธารณะ
โดยคำตอบของรัฐบาลบอกว่า ได้ยื่นหนังสือไปถึงกระทรวงการต่างประเทศแล้ว หากท่านมีเรื่องใดที่จะร้องทุกข์ ขอให้มาร้องที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ซึ่งไม่มีคำตอบอะไรใน 6 ข้อที่เราถาม เราถามอย่าง แต่ตอบมาอีกอย่าง ทั้งที่นายกฯ บอกว่าเห็นหนังสือแล้ว และอ่านหนังสือแล้ว แสดงว่านายกฯอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง
สาระสำคัญของวันนี้ ยังมีคนมาร่วมลงนามเป็นสักขีพยาน เป็นนักวิชาการที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในประเทศด้าน MOU 2543 MOU 2544 และ JC 2544 คือ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นายคมสัน และ นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา ที่ผ่านมารองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคุยกันเบื้องต้น เพราะถ้าไม่มี MOU 2544 การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเป็นไปตามกฏหมายทะเลสากล ที่ให้สัตยาบันที่กรุงเจนีวาในฉบับปี 1958 และ 1982 ซึ่งบัญญัติเอาไว้ว่า ประเทศสองประเทศที่ประชิดกัน หรือมีเขตแดนตรงกันข้ามกันในทะเล ถ้าไม่มีเส้นเขตแดนอื่น ไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น ไม่มีสิทธิทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างอื่น ให้ใช้เส้นกลางเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่มี MOU 2544 ก็ต้องยึดหลักเส้นกลาง ก็คือเส้นที่เป็นไปตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 ปี 2516 ทุกประการ ดังนั้นถ้ายกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 เราจะยึดกฎหมายสากล คือยึดหลักเส้นกลางเท่านั้น และเขาชอบพูดว่าเป็นเพียงแค่กรอบเจรจาในการตกลง
ตนจึงถามว่าแล้วพื้นที่พัฒนาร่วมตาม MOU 2544 ทำไมตกลงกันแล้วว่าเป็นพื้นที่ล่างด้านทิศใต้ของละติจูด 11 องศาเหนือลงมารวมพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร ท่านจะยุติให้แบ่งผลประโยชน์กันแล้ว ทั้งที่ตรงนั้นมีทะเลและไหล่ทวีป ไปแบ่งเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมไทยกัมพูชาได้อย่างไร และถามว่าพื้นที่ด้านล่างมีการตกลงกันแล้วหรือยังว่าเป็นพื้นที่ของไทยหรือของกัมพูชา เพราะทั้งที่จริงแล้วเป็นของประเทศไทย และข้อห่วงใยที่สุด JC 2544 ในข้อ 13 รับรองแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ระหว่างสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส เราถึงสูญเสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารไปแล้วหนึ่งรอบ รอบนี้จะมีแผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฉบับเดิมในทางทะเลมาอ้างไหล่ทวีป และอ้างว่าประเทศไทยรับรู้ในเส้นไหล่ทวีปนี้ ทั้งที่เป็นเส้นเล็งหาหลักเขตที่ 13 ซึ่งยอดเขาสูงสุดเป็นเกาะกูด กลายเป็นเส้นไหล่ทวีปที่ไม่ชอบธรรม เพราะมันเป็นแค่เส้นเล็ง ไม่ใช่เส้นไหล่ทวีป ดังนั้นการที่เอา MOU 2544 มารับรู้เส้นเล็งของกัมพูชาว่าเป็นเส้นไหล่ทวีป เราเห็นว่าประเทศไทยเสียประโยชน์ และอาจจะเพลี่ยงพล้ำในเวทีศาลโลกก็ได้ เพราะตามกฎหมายทะเล หากเกิดข้อพิพาทต้องมีคนกลางตัดสิน
วันนี้ได้รับคำตอบว่าเขารับรู้ว่าเราไม่เห็นด้วย แต่ตนขอให้รัฐบาลตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ ที่ผ่านมานายกฯ บอกว่าพร้อมจะพูดคุยกับนายสนธิ แต่พอถึงเวลาบอกว่าเวทีสาธารณะไม่ต้อง เพราะมีศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์อยู่แล้ว ตกลงนายกฯนอกจากอ่านภาษาไทยไม่รู้เรื่องแล้วยังจำความสั้นด้วยอีกหรือไม่ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านตอบกลับมา เพราะเราทำหนังสือไปวันนี้ว่าท่านตอบไม่ตรงคำถาม จะตอบหรือไม่ตอบเดี๋ยวก็รู้กันในปีหน้า เพราะหากภายในสิ้นปีนี้ ไม่มีคำตอบเป็นอย่างอื่น ก็ถือว่าท่านไม่ตอบพวกเรา ขนาดยังไม่เกณฑ์คนมา มาแค่ลงนามทวงถามก็มีประชาชนมาอย่างล้นหลาม สมมติว่าท่านไม่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เช่นนี้ก็แปลว่าทุกท่านอยากเห็นพวกเราลงถนนใช่หรือไม่ ถึงแม้ว่าผู้ที่มาอยู่ในที่นี้อาจเป็นผู้สูงวัยแ ต่พวกท่านเดินทางมาได้ แสดงว่าข้อเข่ายังใช้ได้อยู่
เมื่อถามว่า จากนี้มีแผนยกระดับการเคลื่อนไหวอย่างไร นายปานเทพ กล่าวว่า เราถูกวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านจะตอบก็ไม่หรือไม่ตอบก็เรื่องของท่าน เดี๋ยวเหตุการณ์จะพัฒนาไปเอง และปีหน้าเราจะมีนัดอีก 2 ที่คือ ที่รัฐสภา และกระทรวงการต่างประเทศ สมมติยังไม่มีความคืบหน้าก็จะถามพี่น้องประชาชนว่าจะไปกองทัพเรือหรือไม่ เราจะทำหน้าที่ประชาชนให้ดีที่สุดตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ให้อำนาจสิทธิประชาชน อย่างไรก็ตามขอฝากนายกรัฐมนตรีว่าขอให้อ่านหนังสือเยอะๆ
Advertisement