รัฐบาลตั้งเป้า ลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท ยันต้องทำให้ได้
นายกฯ เผย รัฐบาลตั้งเป้า ลดค่าไฟเหลือ 3.70 บาท ยันต้องทำให้ได้ ขอปชช.ไม่ต้องห่วง ลั่นยังไม่เคยคิดปรับ บอก สไตล์การทำงานไม่เหมือน ทักษิณ
วันที่ 7 ม.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับถึงแนวทางการปรับลดค่าไฟว่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำอยู่แล้ว เราอยากลดให้ถูกลง ทั้งเรื่องค่าครองชีพพื้นฐานของพี่น้องประชาชน เพื่อให้แข่งขันได้ในเวทีโลกก็เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อรัฐบาลสามารถคุย และเจรจาลดต้นทุนได้ ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันเกิดประโยชน์กับประเทศมากมายอยู่แล้ว เรามุ่งเน้นเรื่องนี้
คอนเทนต์แนะนำ
การลดเหลือ 3.70 บาทที่สื่อมวลชนถามมา เป็นสิ่งที่เป็นเป้าหมายที่เราอยากทำให้ได้ ซึ่งต้องมีการตกลงกัน และพูดคุยหลายฝ่ายว่าต้องดูในส่วนที่ไม่จำเป็นตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกในค่าไฟที่มีการซ้ำซ้อนกันเกิดขึ้น ต้องคุยกันในทุกภาคส่วน เพื่อตกลงร่วมกัน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เป็นเป้าหมายของรัฐบาล เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่อยู่ในลำดับความสำคัญลำดับแรกๆ ของการเปิดปีใหม่มาในการพูดคุยกันอยู่แล้ว และย้ำว่าตัวเลข 3.70 บาทมีโอกาสเป็นไปได้ แต่ต้องมีการทำงานร่วมกันอีก ซึ่งต้องลดจากตัวเลขปัจจุบันมาเรื่อยๆ ก่อน ต้องตั้งเป้าว่ามันเป็นไปได้ แล้วจะค่อยๆ เป็นไปได้
ส่วนหากปรับลดค่าไฟลงได้เป็นหลักประกันเก้าอี้รัฐมนตรีของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องนี้ตนเองไม่ทราบเลย และหลังไมค์เคยพูดคุยกับสื่อมวลชน ว่าไม่เคยมีการพูดคุยเรื่องปรับ ครม. และยังไม่ได้พูดเลยด้วยซ้ำ คิดว่าอำนาจการรับ ครม.เป็นของนายกรัฐมนตรี แต่นายกนายกรัฐมนตรียังไม่ทราบเลย ว่าจะมีการปรับ ครม. เกิดขึ้น นายพีระพันธุ์ก็พูดคุยกันอยู่ เมื่อสักครู่มีการประชุมก็พูดคุยกัน และย้ำว่าไม่มีการปรับ ครม.
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าจะเรียกรัฐมนตรี แต่ละกระทรวงมาพูดคุยกันให้ครบ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จริงๆ อยากคุยตั้งแต่เริ่มมาเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่เมื่อมีงานเข้ามา ก็ต้องแยกก่อนว่าแต่ละกระทรวงรับผิดชอบงานอะไรบ้าง ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างเป็นรูปเป็นร่าง อย่างเต็มที่มาก เพราะฉะนั้นการเชิญรัฐมนตรีเข้ามาคุย ตนเองได้แจ้งทุกท่านตั้งแต่ปีที่แล้ว และรัฐมนตรีไม่ตกใจแน่นอน ถ้าเรียกเข้ามาพูดคุย เพราะเป็นการอัพเดทว่าแต่ละนโยบายทำไปถึงไหนแล้ว ตนเองกระจายงานต่าง ๆ ให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละท่าน แต่ที่อยากเรียกมาคุย เป็นเพราะจะได้ทราบว่าคนที่อยู่หน้างานทำอะไรบ้างอย่างจริงจัง จะได้พูดคุยด้วย และจัดเวลาให้รัฐมนตรีแต่ละท่านในการนำเสนอพูดคุย และขอการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมมากกว่า นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น และคิดว่าภายในเดือนนี้นี้น่าจะได้เชิญมาคุยสองกระทรวง
ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดบนเวทีปราศรัยว่า น.ส.แพทองธาร เรียกมาพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องทุนผูกขาด และข้าราชการแล้วนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่นายทักษิณพูด ถ้าฟังให้ดีคิดว่าเป็นสไตล์การทำงานของนายทักษิณ ซึ่งก็ไม่เหมือนกับตนเอง คนละแบบกัน การที่เรียกมาคุย ตนเองไม่ได้เรียกมาคุยแต่รัฐมนตรีแต่ละท่านตนเองมีไลน์ส่วนตัวอยู่แล้วที่สามารถคุยกันได้ พร้อมยกตัวอย่างการพูดคุยกับ รมว.พาณิชย์เรื่องราคาพืชผล ก็พูดคุยกันตลอด โดยพูดคุยเพื่อถามว่าจะช่วยเหลือสินค้าเกษตรนั้นๆ อย่างไรบ้าง แต่เรื่องการผูกขาดราคาสินค้าอุปโภค และบริโภค อะไรที่เป็นสิ่งที่ดี ก็ต้องดำเนินการ ไม่อยากให้มีการผูกขาดเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เน้นย้ำไป และหลังจากนั้นคือขั้นตอนของการทำงาน ส่วนการจะเปลี่ยนตัวอย่างไรนั้น ไม่มีการพูดถึง
เมื่อถามว่าสไตล์การทำงานที่ต่างกัน น.ส.แพทองธารจะใช้เวลานานขนาดไหน ในการพิจารณาการปรับคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนเองไม่แน่ใจว่านายทักษิณ จะจัดการอย่างไรเรื่องการทำงาน แต่ตนเองจะพูดคุยก่อน และเป็นคนพูดตรงว่าสิ่งนี้ อยากให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ และส่วนกลางเองสามารถสนับสนุนเรื่องอะไรได้บ้าง ถ้าไม่เกิดขึ้น เป็นเพราะอะไร ก็พูดคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าเป็นการละเลย ไม่สนใจการทำงาน มันเห็นได้ถึงเจตนาอยู่แล้ว คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นเรื่องของกระบวนการที่ต้องใช้เวลา เข้าใจได้ เราก็ต้องส่งเสริมให้ไปต่อ เพราะจริงๆ การมีเสถียรภาพคือทำให้งานมันเกิด ไม่ว่าในกระทรวงต่างๆ ในรัฐบาล เมื่อมีศักยภาพการงานก็ต่อเนื่อง และตนเองคิดว่ายังไม่มีแผนปรับ ครม. แต่ว่าถ้ามีจะบอกอีกที แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องปรับ ครม. เลย
เมื่อถามว่า ทำงานมาแล้ว 3 เดือน มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนดื้อหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดื้อเหรอคะ เขาบอกว่ามีแต่น่ารัก ไม่มีดื้อ สรุปนายกฯ ดื้อสุด แซวตัวเอง และหัวเราะ
Advertisement
