วันที่ 10 มี.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1 ครั้งที่ 1/2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล และมีวาระสำคัญพิจารณา โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในเฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไปที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม รวมถึงนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งถือเป็นการเข้าประชุมครั้งแรก ในสมัยของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดประชุมว่า ในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นผ่านนโยบายการกระตุ้นต่างๆ แล้วก็มีเรื่องของการส่งออกและการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องมือหลัก ที่จะทำให้เศรษฐกิจ ในปี 2568 โตขึ้น 3% และจากความตั้งใจของการทำงานทุกกระทรวงร่วมถึงความร่วมมือกับเอกชน ก็จะสามารถทำให้เศรษฐกิจโตมากกว่าร้อยละ 3 ได้ และต้องปฏิบัติภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3 วางรากฐานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ในระยะสั้นและระยะยาว ขอให้ทุกท่านร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
จากนั้นเวลา 11.14 น. นาย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง พร้อมด้วยนาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนาย เผ่าภูมิ โรจนสกุล ร่วมกันแถลงภายหลังการประชุมถึงความคืบหน้าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในเฟส 3
นายพิชัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะใช้ระบบดิจิทัล วอลเล็ต ในการจ่ายของเฟส 3 สำหรับตนถือว่าเป็นเฟสที่1 ซึ่งโครงการนี้มีข้อดีเยอะ แม้ว่าระบบจะค่อนข้างลำบากในการสร้างขึ้นมา เพราะหากเราเทียบกับการให้เงิน หรืออุดหนุนเงินทั่วไปปกติจะไม่สามารถควบคุมเงินนั้นได้ เช่นการนำใช้หนี้ และไปซื้อของตรงไหนก็ได้ แต่ ดิจิทัล วอลเล็ต เราสามารถใช้ระบบบอกได้ว่าผู้รับอยู่ที่ไหน อำเภอไหน ให้ซื้อที่นั่น มันสามารถกำหนดได้ เพื่อให้การเติมเงินสู่ระบบเป็นไปตามวัตถุประสงค์ทุกประการ
ซึ่งวันหลัง รัฐบาลมีโครงการอีกเยอะหลายเรื่องการอุดหนุนจ่ายเงิน ประโยชน์ในครั้งนี้ก็จะได้รู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศเป็นอย่างไร และสามารถนำไปวางแผนได้อีกเยอะ เพราะวันนี้เราไม่รู้ว่าบางคนได้รับเงินอุดหนุนไม่รู้กี่ประเภทจึงต้องวางหลักฐานเศรษฐกิจดิจิทัล ถือเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นประโยชน์ในอันใกล้ แต่ในระยะไกลสามารถสร้างข้อมูลประชาชนได้มากที่สุด และนำมาบริหารจัดการได้ ถือเป็นประโยชน์ต่อการวางรากฐานยาว
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนเรื่องความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจนั้น ตนเชื่อว่า 1.ได้การกระจายที่ทั่วถึง และ 2.แบ่งเบาภาระหนี้ครัวเรือน ซึ่งกลุ่มนี้จะครอบคลุมกลุ่มที่ลงทะเบียนไว้แล้วตั้งแต่อายุ 16 -20 ปี เราเลือกกลุ่มนี้ เพราะยังอยู่ในวัยเรียนสามารถนำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่าย หรือช่วยเหลือพ่อแม่ได้ซื้อของที่จำเป็นต่อการเรียน ส่วนกลุ่มที่อายุเกิน 20 ปีถึง 60 ปี เราจะพิจารณาดูว่ากลุ่มนี้มีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร และควรทำอย่างไรกับกลุ่มนี้ด้วยวิธีใด ซึ่งจะใช้ประโยชน์ของระบบดิทัล ในการดำเนินการจัดการ ซึ่งวันนี้เราได้รับความเห็นชอบในหลักการ
ทั้งนี้นายกฯ มีความเป็นห่วงเรื่องความผิดพลาดของการจ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นจะต้องมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาดู แต่เราเชื่อมั่นว่าความผิดพลาดในอดีตจะทำให้ความผิดพลาดในปัจจุบันลดจำนวนลงได้
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนจะจ่ายเมื่อไหร่นั้น เราก็ทบทวนให้ดีที่สุด ถ้าจ่ายในเวลาที่เหมาะสมคือประมาณปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ซึ่งเราต้องดูความเรียบร้อยทั้งหมดก่อน เราต้องนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ประโยชน์ที่ได้ต้องจับต้องได้ เพื่อวางพื้นฐานเงินดิจิทัล การทำต้องละเอียดนิดนึง และหากใครไม่มีโทรศัพท์มือถือ เราก็จะจัดกลุ่มช่วยเหลือ เพื่อมาลงทะเบียน และมีฐานข้อมูลว่ากลุ่มนี้ไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกอยากใช้โทรศัพท์มือถือ ประเทศเรามี 60 กว่าล้านคน หากใช้โทรศัพท์มือถือเชื่อมกับรัฐบาลได้จะดูดีมาก เพราะอย่างเช่นประเทศสิงคโปร์มีประชากร 4 ล้านคน เขาเก่งที่เข้าถึง หากเราเข้าถึงได้ทั้งหมดก็จะดี ซึ่งเรากำลังวางรากฐานการใช้ระบบดิจิทัลให้กับประชาชน เพราะประชาชนกับรัฐบาลแยกกันไม่ขาด ยามสบายเราก็เก็บภาษีเยอะหน่อย ยามลำบากเราก็ต้องช่วยเหลือหน่อย แต่วันข้างหน้าทั้งหมดนี้จะต้องสมเหตุสมผลต่อเมื่อเรารู้จักข้อมูลของประชาชน ถือเป็นการวางรากฐานครั้งสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะที่นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สำหรับประชาชนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนทั้งหมด เราได้มีการลงทะเบียนไว้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องเงิน 10,000 บาทแต่อย่างใด ข้อมูลที่เราได้มาสามารถนำไปช่วยเหลือประชาชนได้ในอนาคตอย่างตรงจุดและตรงเป้า ทั้งนี้การลงทะเบียนครั้งนี้ อยากเชิญชวนประชาชนมาลงทะเบียนกันเยอะๆ เพราะกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนจะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญในการเดินหน้าเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อที่เราจะก้าวเข้าไปสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มตัว ดังนั้นต้องดูแลประชาชนกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึง ทั้งนี้กระบวนการเราได้ลงรายละเอียดไว้ว่าจะใช้กระบวนการของรัฐ ให้ประชาชนเดินไปติดต่อที่ธนาคาร ส่วนกรอบเวลาในการดำเนินการจะแจ้งอีกครั้งหนึ่ง ส่วนกระบวนการลงทะเบียนในแอปพลิเคชันพร้อมหมดแล้ว อยู่ที่การกำหนดกรอบเวลา
ด้านนายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ประชาชนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟน สามารถไปลงทะเบียนได้ที่ ธนาคาร 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รวมถึงไปรษณีย์ ส่วนที่มีสมาร์ทโฟนแต่ไปแกล้งว่าไม่มีสมาร์ทโฟนนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะข้อมูลทั้งหมดที่ลงทะเบียนจะถูกนำไปตรวจสอบ โดยประสานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและ กสทช. ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ย้อนหลัง 3 เดือน ส่วนกรอบระยะเวลาวันนี้ยังไม่มีมติกรอบระยะเวลา ซึ่งรัฐบาลจะต้องไปดูความเหมาะสม และไม่สร้างความสับสนกับโครงการหลักของรัฐบาล อย่างไรก็ตามจำนวนกลุ่มคนอายุ 16-20 ปี มีจำนวน 2.7 ล้านคน
Advertisement