แม่น้องชมพู่ เตรียมเดินทางร่วมรายการทุบโต๊ะข่าว หลังศาลตัดสินรู้สึกมีกำลังใจดีขึ้น ขณะที่ยอมรับทางคดีมีกังวลอยู่บ้าง เพราะต้องสู้อีก 2 ศาล แต่ก็พร้อมสู้ถึงที่สุด
นายอนามัย และนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อแม่น้องชมพู่ เดินทางออกจากบ้านพัก ในพื้นที่บ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ไปที่สนามบินสกลนคร เพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปออกรายการโทรทัศน์ ซึ่ง 1 ทุ่มวันนี้ พ่อแม่น้องชมพู่ พร้อมทนายความส่วนตัว ก็จะมาเป็นแขกรับเชิญในรายการทุบโต๊ะข่าว ช่วงที่ 1 ด้วย
แม่น้องชมพู่ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ระบุว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตัวเองได้รับการติดต่อให้ไปออกรายการโทรทัศน์หลายรายการ แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกจะปฏิเสธ พอมาถึงวันนี้ หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาออกมา และชัดเจนว่าคดีนี้มีผู้กระทำผิด ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าตัวเองมีกำลังใจ ซึ่งก็คิดว่าการออกรายการในวันนี้ อาจมีคำถามหลาย ๆ คำถามจากพิธีกร ที่ทำให้สังคมเข้าใจครอบครัวน้องชมพู่มากขึ้น จึงตอบรับที่จะเข้าร่วมรายการ ส่วนรายละเอียดทางคดีที่หลายคนอยากรู้ วันนี้ก็มีทนายความส่วนตัวเดินทางไปด้วย ก็จะสามารถให้ข้อมูลได้อย่างละเอียดและถูกต้อง
สำหรับขั้นตอนในทางคดีหลังจากนี้ นั้น แม่น้องชมพู่ บอกว่า เบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับทีมทนายความแล้ว ว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ในส่วนของข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งผล ตามที่อัยการได้มีการยื่นไปตอนแรก แต่เมื่อวานนี้ศาลได้มีการพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยหลังจากนี้ก็น่าจะมีการหารือในรายละเอียดกับทีมทนายความให้ชัดเจนเพื่อดำเนินการตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
แม่น้องชมพู่ ยอมรับว่า ส่วนตัวสบายใจขึ้นหลังศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว แต่ก็ยอมรับว่ายังมีความกังวลอยู่ เพราะคดีนี้ยังต้องต่อสู้ในอีก 2 ศาล คือ ชั้นอุทธรณ์ และฎีกา ซึ่งก็ยืนยันจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ตามกระบวนการทางกฎหมาย
ส่วนเมื่อวานนี้ หลังจากที่ศาลตัดสินแล้วตัวเองได้มีการโพสต์ภาพน้องชมพู่ พร้อมข้อความ ระบุว่า “ขอบคุณศาลมุกดาหาร ขอบคุณกระบวนการยุติธรรม ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา” แม่น้องชมพู่ บอกว่า ก่อนหน้านี้ตัวเองรู้สึกว่า สิ่งที่ครอบครัวได้รับหลังจากน้องชมพู่เสียชีวิต คือ กระแสดราม่าต่าง ๆ เกี่ยวกับคดี กระแสสังคมที่ว่าร้ายครอบครัว ทำให้รู้สึกหดหู่และบางครั้งรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง แต่สุดท้ายเมื่อวานนี้คำพิพากษาของศาลทำให้คดีมีความชัดเจน จึงทำให้สภาพจิตใจดีขึ้น แล้วรู้สึกว่า “สวรรค์ยังมีเมตตากับครอบครัว”
Advertisement