"ชูวิทย์" มาแล้ว! ขยี้ "พี่ศรี" อาชีพร้องเรียนแล้วแบล็คเมล์ มันช่างหากินง่ายเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่ของแท้ย่อมหวั่นไหว
จากกรณีที่นาย ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก และ น.ส. พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. จับกุมในข้อหาข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบนั้น
วันที่ 27 ม.ค. 67 นาย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้ออกมาเคลื่อนไหวถึงกรณีดังกล่าวว่า “กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานสักเท่าไหร่ มีโมฆะบุรุษนาม “สีสากกะเบือ” ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง เที่ยวหากินตามงานวัดหลอกชาวบ้านไปวันๆ”
“เมื่อเห็นว่าหลอกคนได้ง่าย แค่เล่าเรื่องโกหกพกลมคนก็เชื่อ จึงคิดการใหญ่ ทำตัวเป็น “คนดีศรีสังคม” อันสังคมไทยมักเชื่อถือคน “มือถือสากปากถือศีล” แค่ทำท่ากราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้า คนไทยก็หลงเชื่อลีลาชี้นิ้วโกหก”
“อาชีพร้องเรียนแล้วแบล็คเมล์มันช่างหากินง่ายเสียเหลือเกิน เรื่องไหนเห็นว่าจะได้สตางค์ไม่มีรีรอ ทำตัวดั่ง “พระเวชสันดรมาโปรดสัตว์” แต่ที่ไหนได้พอโปรดได้ที่ก็ตีกิน หากไม่ใช่ของแท้ย่อมหวั่นไหว”
“เสมือนหนึ่งในภาษากฎหมายเรียก “ขู่กรรโชก” กระตุกให้สะดุ้งแล้วรอเคลียร์ เพราะเกรงกลัวอิทธิพลคน ใช้สื่อเป็นเครื่องมือ บรรดาข้าราชการกลัวหัวหดเมื่อได้ยินชื่อ สี”
“พวกสีขาวไม่อยากมีเรื่องต่อความยาวสาวความยืด จึงจ่ายดีกว่า ยิ่งพวกเทาๆ แทบจะรีบเอาเงินสดใส่ลังเบียร์ไปแกล้งลืมไว้ถึงที่บ้าน สังคมมันบัดซบ คนชั่วมันถึงหากินแบบนี้ได้”
“ขอเตือนสื่อไม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของ “ศาลาคนชั่วแสร้งทำดี” มันช่างเลวกว่า “คนเลวที่ยอมรับว่าเลว” สังคมต้องระวัง เพราะเชื่อหรือไม่ว่ารายนี้ไม่ใช่รายแรก และไม่ใช่รายสุดท้ายแน่นอน”
“คนใกล้ตายอย่างผมไม่เสียเวลาเล่าเรื่องโกหก”
Advertisement