บุกช่วยเด็ก 9 ขวบถูกแม่ทำร้าย อ้างเวลาหิวข้าวแม่ไม่ยอมให้กิน กลัวว่าอาหารจะหมด ขณะที่แม่เผยข้อมูลอีกมุม เหมือนหนังคนละม้วน
จากกรณีที่มูลนิธิเป็นหนึ่งได้รับแจ้งจากผู้อาศัยอาคารเอื้ออาทรแห่งหนึ่งย่านคู้บอน ว่ามีครอบครัวหนึ่งอยู่ในห้องเช่าทัังหมด ประมาณ 6 คน ผู้หญิง 2 คนและเด็กเล็กอีก 4 คน โดยที่เพื่อนบ้านในห้องเช่าให้รายละเอียดว่าเด็กหญิง วัย 9 ขวบ มักถูกแม่ทุบตีทำร้ายบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นคำบอกเล่าจากปากเด็ก หนำซ้ำบางครั้งเวลาหิวข้าว แต่แม่กลับไม่ยอมให้กิน เนื่องจากกลัวว่าอาหารจะหมด จึงทำให้เป็นต้นเหตุในการทำร้ายร่างกาย ทั้งนี้เพื่อนบ้านบางรายเคยเข้าไปพูดคุยและตักเตือน แต่แม่ของเด็กกลับไม่ยอมฟัง อ้างลูกของเขาดูแลเองได้
ซึ่งหลังจากมีการว่ากล่าวตักเตือนและปรากฏว่าแม่ของเด็กกลับไม่สนใจและมีบางครั้งที่ปล่อยให้เด็กออกมาเดินเล่น นั่งริมสระน้ำช่วงหัวค่ำและมีอาการเหม่อลอย เหมือนเด็กมีอาการซึมเศร้า ทุกครั้งที่เพื่อนบ้านเห็นน้องออกมาจากห้องมา น้องจะตาบวมมากเนื่องจากน้องร้องไห้ทุกวัน บางวันก็มีรอยฟกช้ำตามตัว ทางเพื่อนบ้านในอาคารชุดดังกล่าวเป็นห่วงว่าเด็กจะไม่ได้รับความปลอดภัยจึงแจ้งมาทางมูลนิธิเป็นหนึ่งให้ลงพื้นที่ช่วยเหลือ
วันนี้ (19 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ทาง ”มูลนิธิเป็นหนึ่ง“ ร่วมกับทาง เจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) ได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบภายในเคหะแห่งหนึ่งย่านคู้บอน เพื่อพบกับ “นางก้อย” (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นแม่ของเด็ก เมื่อไปถึงได้เคาะประตู้ห้องเรียกให้เปิดสักพัก "นางก้อย" ออกมาเปิดประตูพร้อมพูดคุยและให้รายละเอียดกับทางเจ้าหน้าที่รวมไปถึงกับทางมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมกับเปิดห้องเพื่อให้ตรวจสอบ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ พม. นั้นขอนำตัวเด็กออกมาแยกสอบส่วนตัวภายนอก ซึ่งเบื้องต้นทางแม่ได้ให้ข้อมูลพร้อมกับให้ความร่วมมือและยืนยันว่าไม่ได้มีการทำร้ายลูกตามที่มีการร้องเรียน
โดย “นางสาวก้อย” (นามสมมุติ) ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่ามีการทำร้ายร่างกายทุบตีลูกสาววัย 9 ขวบจริง แต่เป็นการทุบตีเพื่อการสั่งสอนและว่ากล่าวตักเตือน ไม่ได้เป็นประเด็นว่าตั้งใจจะทำร้ายถึงขั้นให้ได้รับบาดเจ็บหรือทำร้ายสภาพจิตใจ แต่ที่มาที่ไปมาจากกรณีที่น้องเองค่อนข้างดื้อ และสอนอะไรไม่ค่อยฟัง อย่างเช่นเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ตามที่ได้มีชาวบ้านไปร้องเรียนว่าตนเองไม่ให้น้องกินข้าว แต่ความเป็นจริงแล้วเหตุการณ์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะวันนั้นตนเองได้ทำอาหารก่อนที่ทางลูกสาวของตนจะนั่งรับประทานอาหารตามปกติ แต่ปรากฏว่าน้องกลับกินแล้วกินอีก จนตนเองได้เตือนว่าเก็บไว้กินช่วงเย็นเนื่องจากยังมีอีกมื้อหนึ่ง และน้องคนอื่นจะได้กินด้วย แต่ทางลูกสาวกระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้มีการวางจานข้าวกระแทกกับพื้นและทำท่าทางไม่พอใจ เลยต้องใช้ไม้แขวนเสื้อตีเข้าไปที่ก้นของน้องจนเป็นรอย ซึ่งตนเองไม่ได้ตีลูกทุกวันจะมีแค่ช่วงจังหวะที่เขาเองพูดไม่ฟังแค่นั้น ซึ่งครั้งที่มีการรับประทานอาหารถือเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ตนจำได้
ส่วนกรณีที่เพื่อนบ้านอ้างว่าตนทำร้ายบ่อยครั้ง ตนอยากจะย้อนถามและหาหลักฐานว่ากี่ครั้ง และตอนไหน ซึ่งตนเองไม่ได้มีการตั้งแง่กับคนที่ร้องเรียน แต่ตนอยากตั้งคำถามว่าในส่วนของคนที่ร้องเรียนและเพื่อนบ้านของตน เป็นการโจมตีปัญหาเก่าที่เคยมีความขัดแย้งกันมาก่อนหน้านี้หรือไม่ เนื่องจากทางหญิงสาวดังกล่าวเคยมีปัญหากับทางน้องสาวของตน เกี่ยวกับเรื่องเช่าห้อง ที่มีการจ่ายเงินค่ามัดจำกลับไม่ได้มีการคืนเงินค่ามัดจำก่อนหน้านี้ เคยมีการแจ้งความและดำเนินคดีและเป็นข้อพิพาทไปแล้วก่อนหน้านี้ รวมไปถึงที่ผ่านมาเขาเองมีลักษณะคล้ายเอาลูกของตนไปเลี้ยงแต่ตนไม่ยอม
ส่วนที่ทางผู้ร้องเรียนได้มีการกล่าวอ้างว่าลูกสาวของตนเป็นคนเล่าและไปเขียนหนังสือซึ่งเป็นข้อความลายลักษณ์อักษร ว่าตัวเองทำร้ายและไม่ให้กินข้าว ตนมองว่าเป็นการพูดเพื่อให้ลูกสาวของตนเป็นคนเขียนตามคำแนะนำของเขาหรือไม่ ส่วนกรณีที่เขาเองมีความสนิทสนมกับลูกสาวของตนถึงขั้นเรียกแม่ ประเด็นนี้ตนก็เคยสอบถามลูกสาว ลูกสาวบอกว่าเค้าเป็นคนบังคับและสอนให้เรียกว่าแม่
อย่างไรก็ตามในส่วนของครอบครัวตนยอมรับว่าภายในห้องเช่าจะต้องอาศัยอยู่อยู่ด้วยกัน 6 คน โดยจะมีตนและน้องสาว รวมไปถึงลูกของตน 2 คนและหลานอีก 2 คน ที่ผ่านมาตนเองพยายามดูแลและเลี้ยงดูเขาอย่างดี จะมีบ้างบางครั้งที่อาจจะปล่อยประละเลยเนื่องจากตนเองก็ต้องทำงาน รวมไปถึงน้องสาวก็ต้องไปทำงานกลางคืนเลยต้องมีการสับเปลี่ยนกันดูแลเด็กๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เขาเองอาจจะออกไปซุกซนหรือเดินเล่นภายนอก ซึ่งตนก็ต้องยอมรับในประเด็นนี้ว่าไม่ดูให้ดี
หลังจากนี้ตนเองก็พร้อมให้ความร่วมมือแต่หากถามว่าหากทาง พม.จะนำลูกของตนไป ตนคงไม่ยอม เพราะตนเชื่อว่าตนสามารถเลี้ยงดูแลลูกของตนได้ดี ที่ผ่านมาก็มีคนมาขอลูกของตนไปเลี้ยง แต่ตนก็ไม่ให้ เพราะลูกของตน ตนดูแลได้.
Advertisement