"อัจฉริยะ" พร้อมสู้ หลังถูก "บิ๊กโจ๊ก" ฟ้องหมิ่นฯ พร้อมฝากถาม มีคนเรียกเงิน 10 ล้าน เพื่อแฉ "บิ๊กต่อ" จริงหรือไม่ จ่อเปิดถุงเงินมหาศาล
วันนี้ (8 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมาที่ ศาลอาญา รัชดา มาตามนัดที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ฟ้อง นายอัจฉริยะ ข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
ด้านพล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ก็เดินทางมาศาลเช่นกัน เพื่อเข้าไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรกในคดีที่ เป็นโจทก์ฟ้องนายอัจฉริยะ
โดยนายอัจฉริยะ ระบุว่า วันนี้เป็นคดีที่ 2 ที่ตนไม่ได้พูดถึงพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่ทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ฟ้องตนแบบหาเรื่อง หากไปดูในคำฟ้อง ตนมั่นใจว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องกับทางลูกน้องของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เท่านั้นเอง หากฟ้องมา ตนเชื่อมันว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร สามารถที่จะสู้ได้อยู่แล้ว
พร้อมฝากอีกหนึ่งประเด็น ที่ให้ผู้สื่อข่าวสอบถาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า วันที่ไปตกลงกันที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งในวันนั้นมีพล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น อยู่ด้วย ทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีการเล่าให้ฟังว่ามีบุคคลหนึ่งได้มาพูดคุยในเรื่องของเงิน 10 ล้านบาท เพื่อที่จะแฉ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ตกลงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ที่มีคนมาขอเงิน 10 ล้านบาท หากมีการเรียกเงินจริง ทำไมพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ดำเนินการจัดการตามกฎหมาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่นายอัจฉริยะ เคยพูดไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ว่ามีเรื่องของดีลลับกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ปฏิเสธว่า ไม่มีการดีลลับ นายอัจฉริยะ ระบุว่า ก็คิดเอาเองแล้วกัน หากไม่มีดีลจะเลื่อนทำไมตั้งหลายครั้ง ไม่ใช่เลื่อนตนขอเลื่อนนะ แต่เป็นทางพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เลื่อน รวมถึงในวันนั้นพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้บอกต่อหน้าศาลว่า ตนไม่สามารถทำประโยชน์ต่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ จึงไม่มีการถอนฟ้อง
ทั้งนี้ ภายในเดือนนี้ตนจะมีการปฏิบัติการในการแฉเพื่อชาติ รวมถึงมีภาพถุงเงินมหาศาลที่มีพยานในการแกะเงินให้กับคนบางคนมาให้ดู หลังจากที่ตนกลับมาจากต่างประเทศจะมีการออกมาเปิดเผยทั้งหมด
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า เนื่องจากสำนวนดังกล่าวที่พนักงานสอบสวนตำรวจได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวน 8 คนของตนเอง และส่งสำนวนไปยังอัยการฯ แต่ทางอัยการได้พิจารณาแล้วว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นไปตามที่ตนเองเคยได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า สำนวนคดีนี้เป็นเรื่องความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ไม่ใช่อำนาจตำรวจที่จะพิจารณาสั่งฟ้อง
และเป็นไปตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.ที่ได้ระบุว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถออกหมายเรียกหรือหมายจับได้ กฎหมายมีหลักเดียว สุดท้ายอัยการจึงพิจารณาว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.จึงได้พิจารณาส่งคืนสำนวนไปยังพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงต้องนำสำนวนส่งไปคืน ป.ป.ช.ไปใน 30 วัน ซึ่งตนเองได้กล่าวหาคณะพนักงานสอบสวนไว้ทั้งหมดแล้วว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบไว้แล้ว
“จะเห็นได้ว่าการสอบสวนที่ผมบอกว่าเป็นการสอบสวนโดยชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ท่านก็จะเห็นว่าตำรวจสอบสวนได้เฉพาะคดีความผิดอาญา แต่เป็นความผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไรก็ต้องส่ง ป.ป.ช.ไม่ใช่ดึงไปสอบไปเอง“
อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นการส่งสำนวนกลับ ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 8 คนไม่ได้เดินทางมาด้วย หากเป็นการสั่งฟ้องจึงจะเรียกลูกน้องของตนเองไป
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังได้เปรียบเทียบกรณีดังกล่าวกับกรณีที่คณะพนักงานสอบสวนและอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับผู้การลงไปจนถึงรองสารวัตรกว่า 20 ราย ในคดีที่อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีกับพวกเรียกรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ 140 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งฟ้องในคดีอาญา มีผู้เสียหายชัดเจน และเป็นคดีสำคัญร้ายแรง แต่กลับไม่มีคำสั่งให้ออกจากราชการทั้งหมดเหมือนกับกรณีของตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองต่อสู้มาตลอด แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสองมาตรฐาน
“ดังนั้นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะให้ความเป็นธรรมกับตนเองนั้นก็เป็นเพียงวาทกรรมที่พูดไป เหตุใดนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาของตำรวจ หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงไม่ดำเนินการ”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากสำนวนคดีของสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช. จะถือเป็นการเข้าทางให้ฟ้องกลับหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ไม่มีเข้าทางใครทั้งสิ้น เพียงแต่หลักกฎหมายก็คือหลักกฎหมาย เพราะคดีนี้บิดเบี้ยวตั้งแต่กระบวนการสอบสวนแล้ว เพราะคดีที่เส้นเงินเกินกว่า 300 ล้านจะต้องส่งสำนวนให้ DSI และคดีที่เป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ทั้งสิน แต่กลับไม่มีการส่งสำนวนคดี และพยายามดึงสำนวนไว้ทำเอง เพื่อนำไปสู่การออกหมายจับ
“จะผิดจะถูกไม่เป็นไร แต่จะต้องสอบสวนอย่างถูกต้องเป็นธรรม ไม่งั้นบ้านเมือง องค์กร ประชาชนจะอยู่ยังไง ในเมื่อความเป็นธรรมไม่มี” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุถึงสาเหตุการถอนฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในชั้น ป.ป.ช. จะกระทบความเป็นธรรมในคดีหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยว เป็นเรื่องที่ท่านพูดของท่านเอง ส่วนที่อ้างว่า สามารถวิ่งเต้นทางเคลียร์คดีกับ ป.ป.ช. ได้นั้น ตนเองไม่ทราบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่รับฟังมา แต่ตนก็มั่นใจในทุกกระบวนการยุติธรรมจะต้องถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม อ้างว่า มีบุคคลเรียกรับเงิน 10 ล้านบาทกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อแฉข้อมูลของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบเพียงแค่ว่า ไม่มี
ทั้งนี้กรณีที่นายอัจฉริยะ ที่อ้างที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ว่า มีการดีลกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้เป็นตัวกลางคุยกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เกี่ยวกับปัญหาในองค์กรตำรวจแลกกับถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาทฯ นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตนเองยังไม่ได้คุยอะไรทั้งสิ้น และว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม
Advertisement