มีอยู่จริง! ตำรวจปอท.ร้องสื่อเจอกับตัว เดือดร้อนถูกอดีตผู้กำกับตำรวจบุกรุกที่ดิน แจ้งความดำเนินคดี นาน 1 ปี คดีไม่กระดิก
วันที่ 12 ส.ค. 67 ที่ อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ เสือทอง รองผู้กำกับการสอบสวน กองกำกับการ 4 กองบังกับการ สอท.5 เปิดเผยว่า ได้รับความเดือดร้อน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ในการทำหน้าที่ของตำรวจ ผู้ที่จะต้องคอยดูแลความเดือดร้อนของประชาชนตามกฎหมาย
โดยได้นำผู้สื่อข่าวไปยังแปลงที่ดินเกษตรกรรม ที่มีทุเรียน มังคุด ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว เนื้อที่รวมประมาณ 30 ไร่เศษ โดยแปลงที่ดินอยู่บนริมเส้นทางขึ้นน้ำตกเสม็ดชุน หมู่ 7 ต.ขนอม ซึ่งเป็นแปลงที่ดินทำกินของบรรพบุรุษตกทอดมาถึงบิดาและปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของตนเองและน้องสาว เป็นที่ดินครอบครองทำกินมีสมุดเกษตรกรกำกับไว้เช่นเดียวกับที่ดินในย่านนี้
พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ส.ค .66 มีนายตำรวจนอกราชการยศ พ.ต.อ.อ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของเขา ทั้งที่ครอบครัวของตนทำกินมายาวนานก่อนรุ่นพ่อจนมาถึงรุ่นพ่อ และตกทอดมาถึงพี่น้องในครอบครัว โดยมีตนเองและน้องสาวเป็นผู้ครอบครอง ทำกินมาต่อเนื่อง จนเกิดเหตุการณ์ขึ้นเข้าใจว่านายตำรวจรายนี้มาซื้อที่ดินแปลง นส.3 ก ที่อยู่แนวลำห้วยสาธารณะฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีแนวเขตแผนที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่กลับอ้างครอบครองล้ำข้ามมาจนเกิดข้อพิพาทกับตนเอง ซึ่งได้ไปแจ้งความต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง คือร่วมกันบุกรุก 2 คดี และลักทรัพย์สิน1 คดี นับแต่ ส.ค. 66 จนมาครบ ส.ค. 67 ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
“พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นมีการลอบนำเอาเสาปูนรั้วลวดหนามมาปักยึด และขึ้นป้ายอ้างนายตำรวจชั้นยศพ พล.ต.ต. 2 คน และพ.ต.อ. 1 คน ขึ้นป้าย พร้อมประกาศขายหรือเช่า โดยน้องสาวและชาวบ้านได้บันทึกภาพไว้ทั้งหมด เป็นพฤติการณ์ที่รับไม่ได้ หลังจากนั้นได้เดินทางกลับบ้านมาเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนที่ สภ.ขนอม ส่วนรั้วนั้นได้ถูกรื้อออกทิ้งไปแล้ว แรกเริ่มแจ้งนั้นอิดออดบ่ายเบี่ยงไม่รับแจ้งความจึงบอกว่าหากไม่รับแจ้ง ให้บันทึกว่าไม่รับแจ้ง แต่ท้ายที่สุดเมื่อรู้ว่าเป็นตำรวจด้วยกันจึงรับแจ้ง แต่กลับไม่มีการตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยละเอียดตามวิสัย จนกระทั่งแจ้งความครั้งที่ 2 เป็นไปในทำนองเดียวกัน ทั้งการสอบสวนสอบพยานเป็นไปอย่างล่าช้าอย่างมาก จนกระทั่งครั้งที่ 3 มีการบุกรุกอีกครั้งถึงขั้นเอาคนงานมาเก็บเอาทุเรียนไปเป็นจำนวนมาก และทรัพย์สินอื่นๆ มีการแจ้งความอีก แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรม นี่ขนาดว่าเป็นตำรวจด้วยกัน”
พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ ระบุด้วยว่ าในการทำคดีนั้นทางตำรวจควรทำไปตามข้อเท็จจริง ตั้งต้นในการพิพาท ที่เหลือนั้นเป็นการต่อสู้กันในทางคดีตามพยานหลักฐาน ขั้นตอนศาลให้เป็นที่สุดไม่ควรล่าช้า มีการแทรกแซงหรือไม่ไม่อาจรู้ได้ ส่วนตัวยังได้ร้องไปยังจเรตำรวจเรียบร้อยแล้ว และทางจเรส่งเรื่องกลับมาที่ตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช นายตำรวจระดับรองผู้บังคับการแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรว่า อ้างว่ามูลคดีความผิดทางอาญายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะที่เป็นพนักงานสอบสวน จึงต้องตั้งคำถามว่า หากอ้างเหตุเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มีการแสวงหาพยานหลักฐานใดๆ เพิ่มให้สิ้นกระแสในชั้นพนักงานสอบสวน
รองผู้กำกับการรายนี้ยังระบุด้วยว่า นี่ขนาดเป็นตำรวจด้วยกันยังเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงประชาชนทั่วไปเลยจะเป็นอย่างไร การเปิดเผยข้อมูลนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นอะไรได้อีกหลายอย่าง ประชาชนเดือดร้อนจะพึ่งพาความเป็นธรรมได้จากใคร
Advertisement