พ่อแม่แบกโลงศพลูกสาวทารกวัย 2 วัน ร้องกระทรวงสาธารณสุข หลังโรงพยาบาลชื่อดังทำลูกเสียชีวิต แค่เอ่ยขอโทษ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 7 ต.ค. 67 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พานาย อดุลวิทย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี และ น.ส.สุภาภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) หรือ น.ส.กุ้ง อายุ 28 ปี พ่อและแม่ของน้องลลินดา แบกโลงศพลูกสาวทารกวัย 2 วัน ร้องเรียน หลังโรงพยาบาลชื่อดังทำลูกเสียชีวิต โดยไม่ทราบสาเหตุ พบมีรอยช้ำที่หัวและแก้ม หมอ พยาบาล ปิดปากเงียบ พูดคำเดียว “ขอโทษ” หลังลูกเสียชีวิตพ่อและแม่ ตัดสินใจส่งศพลูกสาวไปตรวจที่ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม เพื่อค้นหาความจริง พบมีเลือดคั่งในโพรงสมองคล้ายถูกกระแทก จึงได้มาร้องขอความเป็นธรรม
โดยนายเอกภพฯ ได้ประสานไปยังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อพาพ่อและแม่ของทารกน้อยที่เสียชีวิตเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และตรวจสอบข้อเท็จจริงหาสาเหตุการตายอย่างละเอียด โดยมี ดร.ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ โดยพ่อและแม่อยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ตลอดเวลา
ด้าน ดร.ธนกฤต จิตรอารีรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าผลทางนิติวิทยาศาสตร์ฯ ระบุสาเหตุว่ามีเลือดออกในสมอง วันนี้ต้องต้องการทราบว่าเหตุใดหมอผู้วินิจฉัยโรคจึงให้มีการผ่าคลอด ในขณะที่ตนเองยังคิดว่ายังสามารถรอการผ่าคลอดได้ ซึ่งจากการสอบถามหมอสูตินารีเวช ก็ระบุว่า มีการคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย ส่วนผลของการรักษาจะมีการตรวจสอบเวชระเบียนอีกครั้งว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ และมีข้อสงสัยว่าน้องมีร่องรอยบริเวณคิ้ว เป็นร่องรอยของคุณหมอในการใช้อุปกรณ์คีบดึง อาจเป็นสาเหตุของเลือดที่ออกในสมองทารก และเรื่องเอกสารที่มีการส่งให้กับแม่ในครั้งแรก ระบุผลการเสียชีวิตว่าน้องมีภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งภายหลังไม่แน่ใจว่ามีการแก้ไขหรือไม่อย่างไร ส่วนเรื่องการรักษาต้องตรวจสอบว่าได้รักษาตามมาตรฐานของการคลอดบุตรหรือไม่ หากพบว่าการดูแลรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ก็จะส่งผลให้เกิดการดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนี้ตนจะมีการลงพื้นที่เพื่อประชุมหารือที่จังหวัดระยองด้วยตัวเอง เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงต่อไป
ขณะที่ นายเอกภพ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าทั้งหมอและพยาบาลไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่เมื่อเกิดไปแล้วต้องหาคำตอบว่าเกิดสาเหตุนี้ได้อย่างไร คุณแม่ไม่สามารถมีน้องได้แล้ว เพราะท้องนี้คือท้องที่ 3 และผ่าคลอด ซึ่งน้องคือความตั้งใจของคุณแม่มาก แต่สุดท้ายก็เสียชีวิต ซึ่งคำตอบการพูดคุยเป็นสิ่งสำคัญ หลังจากเสียชีวิตทางโรงพยาบาลไม่มีคำตอบให้ ถามใครก็บอกว่า “ยังไม่ทราบสาเหตุ” และได้แต่เอ่ยคำว่า “ขอโทษ” รวมถึงผลวินิจฉัยในครั้งแรกที่ระบุว่า “หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”
ซึ่งคุณแม่สงสัยเป็นอย่างมากว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อใช้ระยะเวลาในการรักษาเป็นวัน หลังจากที่ผู้ปกครองสงสัย และยื่นเอกสารกลับไปให้ทางโรงพยาบาล ก็ไม่ได้มีคำตอบกลับมา ก่อนจะมีคำวินิจฉัยจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ฯ ว่ามีลิ่มเลือดหรือเลือดคั่งในสมอง ซึ่งยิ่งทำให้รู้สึกขัดแย้งกับข้อมูลในตอนแรก ตนเข้าใจความรู้สึกของทั้งพ่อและแม่ และเข้าใจความรู้สึกของทางโรงพยาบาล วันนี้จึงได้พาพ่อกับแม่มาเพื่อหาความจริงและเรื่องของการเยียวยา ซึ่งร่างของน้องจะเห็นรอยแดงช้ำบริเวณใบหน้าด้านซ้ายอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นรอยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิต หลังจากเสียชีวิตก็มีรอยเห็นชัดมากขึ้น
ด้าน พญ.จุฑาสินี สัมมานนท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ฝ่ายการแพทย์ (แพทย์เฉพาะทางด้านสูติ-นรีเวช) ระบุว่า จากข้อมูลที่ได้รับและจากคำบอกเล่าของครอบครัวผู้เสียหาย พร้อมกับใบชันสูตรพลิกศพจากสถาบันนิติเวช พบว่ามีเลือดออกในช่องสมอง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต แต่กระบวนการของการคลอดหรือการรักษาของเด็ก มีหนึ่งประเด็นที่เชื่อมโยงกับการเลือดออกในสมอง คือ การคลอดก่อนกำหนดเล็กน้อย คือ 36 สัปดาห์ กับ 2 วัน เพราะในสมุดของแพทย์ 40 สัปดาห์นั้น จะคลอดใน 38 หรือ 39 สัปดาห์ ตามหลักวิชาการทำให้เกิดสาเหตุนี้ได้ โดยเด็กที่คลอดก่อนกำหนดจะมีความเปราะบาง มีอวัยวะครบถ้วน แต่ฟังก์ชันยังไม่ครบถ้วน สิ่งที่พบมากที่สุดการหายใจ เด็กอาจจะรู้สึกหอบหืด ลำดับต่อมาอาจมีเลือดออกในสมอง บางคนมีเลือดออกในปอด ต่อมาเป็นเรื่องทางเดินอาหาร คือ มีลำไส้จริง แต่ระบบย่อยยังไม่สมบูรณ์ ทำให้เสี่ยงติดเชื้อได้ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของเด็กที่คลอดก่อนกำหนด.
นายอดุลวิทย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี และ น.ส.สุภาภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี พ่อและแม่ของน้องผู้เสียชีวิต เล่าทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่ตนฝากครรภ์ก็ปกติทุกอย่าง น้องลลินดา คลอดวันที่ 25 ก.ย. เวลา 17:46 น. อยู่ถึงวันที่ 26 ก.ย. และเสียชีวิตวันที่ 27 ก.ย. เวลา 04:29 น. หลังจากน้องเสียชีวิต พ่อได้ไปแจ้งทางโรงพยาบาลว่าน้องเสียชีวิต พร้อมกับจะขอส่งน้องไปชันสูตรศพ หลังจากนั้นตัวเองจึงขึ้นมาหาหมอที่รักษาน้องในห้องวิกฤติเด็ก ชั้น 10 ของโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งทางหมอได้ส่งใบมรณบัตรให้พร้อมกับ ระบุว่า “หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน” ตนจึงสอบถามหมอว่าเหตุใดจึงระบุแบบนี้ เพราะต้องมีการตรวจรักษาตลอด และตนดูแลลูกมาอย่างดี ซึ่งหมอบอกว่าพยาบาลอาจจะลงผิด ก่อนจะดึงเอกสารกลับไป ซึ่งตนเองก็ไม่เห็นเอกสารฉบับนั้นอีกเลย
ตนได้สอบถามตั้งแต่วันแรก แต่พยาบาลก็ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ บอกว่าไม่รู้ หมอที่ฝากครรภ์และเป็นคนผ่าคลอดให้ก็ตอบเพียงว่าไม่รู้เหมือนกัน พร้อมกับบอกเสียใจด้วย และขอโทษ เพราะหมอก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ทั้งที่ลูกของตนเกิดมาสมบูรณ์ปกติดี ที่ผ่านมาเธอบำรุงและดูแลลูกคนนี้อย่างเต็มที่ ครั้งแรกที่เห็นสภาพของลูกสาว พบรอยบริเวณหัวคิ้ว ทราบว่าเป็นรอยเครื่องมือที่ดึงน้องออกมา ส่วนบริเวณแก้มช้ำ สอบถามหมอแล้วแต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าเกิดจากอะไร
ก่อนจะคลอดตนเองได้บอกกับหมอว่าไม่อยากคลอด และยังไม่ถึงกำหนด ก่อนจะคุยกับพยาบาลว่าจะต้องคลอดภายในวันนี้เลย ตนได้ขอไม่คลอดวันนี้ หากจะคลอดจะมาเองเพราะอยู่ใกล้โรงพยาบาล แต่หมอบอกว่าต้องผ่าตัดคลอดด่วน โดยไม่ได้แจ้งสาเหตุ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าลูกไม่ได้เป็นอะไร เพราะขณะที่วัดครรภ์ลูกยังปกติอยู่ ตนรู้สึกเสียใจมากเพราะต้องสูญเสียน้องไป เพราะน้องก็เป็นความหวังของตน และเป็นลูกสาวด้วย วันนี้ตนและครอบครัวต้องขอบคุณทีมงานสายไหมต้องรอดและกระทรวงสาธารณสุขที่ทำให้ตนได้มาคลี่คลายเรื่องที่สงสัย และทำให้รู้สาเหตุของน้องที่เสียชีวิตได้ และไม่ได้นิ่งเฉยเหมือนทางโรงพยาบาลก่อนหน้านี้.
Advertisement