"บิ๊กก้อง" เผย คดีดิไอคอน สอบพยานหมื่นปาก ชี้ส่งสำนวนให้ ดีเอสไอเป็นข้อกฎหมาย ไม่ใช่ดุลยพินิจ ด้าน บิ๊กเต่า เตรียมถกปม "กฤษอนงค์" ควบคู่อักษรย่อ ส.-อ. วันนี้
วันที่ 11 พ.ย. 67 ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงถึงความคืบหน้าการสอบปากคำผู้เสียหายใน คดีดิไอคอน ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอบปากคำไปแล้วหมื่นกว่าปาก และไปส่งข้อมูลการสอบปากคำไปแล้วประมาณ 5,800 กว่าปาก ซึ่งตำรวจต้องดูความเรียบร้อยของเอกสารในส่วนผู้เสียหายที่เหลือ ทั้งจากโรงพักและจากตำรวจสอบสวนกลางว่ามีความถูกต้องหรือไม่ และการที่ตำรวจสอบสวนกลางได้ส่งสำนวนคดีไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมาย ที่เข้าเกณฑ์เป็นคดีพิเศษ ไม่ใช่การใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจ
ซึ่งทางตำรวจสอบสวนกลาง หลังจากส่งสำนวนไปแล้วยังยินดีให้การช่วยเหลือ ทั้งเรื่องการสอบปากคำผู้เสียหาย ฝากขัง ส่วนการพิจารณาคดีเป็นอำนาจของดีเอสไอแล้ว 100% ว่าจะมีการออกหมายจับใครเพิ่มเติมหรือไม่
ขณะที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการดำเนินคดี น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกงว่า ในวันนี้จะมีการประชุมต่อเนื่องในช่วงบ่าย ยืนยันว่าจะพยายามเร่งรัดให้จบภายในสัปดาห์นี้ ส่วนกรณีที่มีอักษรตัวย่อ ส.และอ. จะทำให้เกิดความล่าช้าหรือไม่นั้น ต้องทำควบคู่กันไป และระบุว่าทำให้เป็นกรณีๆ ไป ส่วนเคสที่เหลือ ต้องมีการสอบปากคำพยานอีกหลายส่วน ซึ่งหลังจากการการประชุมในวันนี้จะสามารถบอกความคืบหน้าได้ ส่วนเบื้องต้น น.ส.กฤษอนงค์มีความผิดในข้อหากรรโชกทรัพย์โดยมีหลักฐานชัดเจน แต่ทราบข้อมูลมาว่าพยานพยานยังให้การเรื่องวันที่การจ่ายเงินยังไม่ชัดเจน จึงอยากกำหนดให้ชัดเจนในเรื่องนี้ ส่วนหลักการทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ น่าจะโอเคแล้ว
ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมได้ออกมาระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางเรียกรับเงินจำนวน 9 ล้านบาทนั้น พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ระบุว่า ตนได้เรียกนายอัจฉริยะและคนที่ให้ข้อมูลมาสอบ ซึ่ง การสอบปากคำค่อนข้างเครียด และยืนยันว่าไม่มีการจ่ายเงิน เพียงแต่ได้ข่าวจากคนใกล้ชิดบอสแล็ป ว่ามีการเรียกเงิน แต่ข้อเท็จจริงไม่สามารถติดต่อคนใกล้ชิดได้และยืนยันได้ รวมถึงได้มีการประสานทางทนายสำหรับข้อมูลในส่วนนี้
ทั้งนี้ ผบ.ตร. มีนโยบายที่ชัดเจนว่า หากตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องหรือออกนอกแถว เราดำเนินการ หลังจากได้มีการไปตรวจสอบกับทาง บอสพอล โค้ชแล็บ และภรรยาโค้ชแล็บ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปเรียกเงินแต่อย่างใด ยืนยันว่าเราพยายามดูข้อมูลให้ลึกลงไป หาข้อมูลมาจากส่วนไหนจะมีการไปไล่กล้องวงจรปิด โทรศัพท์มือถือ และตรวจสอบแต่ผลการตรวจสอบปรากฏว่าไม่พบหลักฐานใดๆ ซึ่งการกระทำลักษณะนี้อาจทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับความเสียหาย และหากมีความจำนงค์ที่จะแจ้งความดำเนินคดี พร้อมย้ำว่าทุกคนไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย รวมถึงนายอัจฉริยะด้วย ให้ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
ทั้งนี้ต้องนั่งพูดคุยกับกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการกับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ หรือชมรม และเพจต่างๆ ให้อยู่ในบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ของสังคม เพื่อไม่ให้กลุ่มพวกนี้ออกนอกเกม จึงต้องใช้อำนาจที่จะสามารถกำกับดูแลเรื่องนี้เพื่อให้เห็นว่าทางเจ้าหน้าที่เอาจริง
Advertisement