เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าช่วงเวลารายสัปดาห์และรายเดือนข้างหน้าต่อจากนี้ไป เราอาจจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้าย และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเรา ช่วงเวลานี้เป็นบททดสอบที่เราทุกคนไม่เคยเผชิญมาก่อน ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤตจากโควิด-19 และสถานการณ์อาจจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นและเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพกายสุขภาพใจ รวมทั้งรายได้และการใช้ชีวิตของคนไทยทุกคน ด้วยเหตุนี้ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่างๆ ด้วยความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เราสามารถหยุดการแพร่ระบาดพร้อมกับลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนทุกคนให้ได้
พล.อ.ประยุทธ์แถลงว่า ตนจะเข้ามาบัญชาการการจัดการกับโควิด-19 ในทุกมิติอย่างเต็มตัว ทั้งด้านการป้องกันการระบาดการรักษาพยาบาลไปจนถึงการเยียวยาและฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19 ตนจะเป็นผู้นำในภารกิจนี้และรายงานตรงต่อประชาชนชาวไทยทุกคน โดยจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออันตรายร้ายแรง ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.2563 เป็นต้นไป ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบแล้วและจะยกระดับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ตั้งไว้แล้วให้เป็นหน่วยงานพิเศษตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดฯ เพื่อบูรณาการทุกส่วนราชการและสั่งการทุกส่วนราชการได้อย่างมีเอกภาพรวดเร็ว เนื่องจากในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้จำเป็นต้องรวมศูนย์สั่งการไว้ที่เดียว เพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนและขจัดปัญหาการทำงานแบบต่างคนต่างทำของหน่วยงานต่างๆ
ภารกิจนี้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยกำหนดให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าฯ กทม. ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการควบคุมสินค้าและเวชภัณฑ์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการต่างประเทศและการคุ้มครองช่วยเหลือคนไทยในต่างประเทศ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงการปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทการปฏิบัติของทหารและตำรวจ
พล.อ.ประยุทธ์แถลงอีกว่า ภารกิจนี้ยังมีทีมงานจากทุกภาคส่วนเป็นคณะที่ปรึกษา โดยจะประชุมร่วมกันทุกวัน เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบข้อมูลสถานการณ์เป็นภาพเดียวกันและเมื่อตนจะจ่ายงานทุกฝ่ายจะรับทราบแผนงานทั้งหมดไปพร้อมกัน สามารถทำงานสอดประสานไปในทิศทางเดียวกันได้ ซึ่งผู้ที่จะรายงานต่อประชาชนจะต้องเป็นตนหรือผู้ที่ตนมอบหมายเท่านั้น สำหรับข้อกำหนดต่างๆ เช่น การห้ามเข้าพื้นที่เสี่ยงการปิดสถานที่เสี่ยง ซึ่งปิดไปบ้างแล้ว การปิดช่องทางเข้าประเทศ การเสนอข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้สูงวัย คนป่วย และเด็ก การห้ามกักตุนสินค้าการขึ้นราคาสินค้า โดยไม่มีเหตุผลการห้ามเสนอข่าวบิดเบือนจะมีการประจักษ์ตามมาหลังจากที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว
“ผมขอยืนยันว่าภายใต้พระราชกำหนดฉบับนี้ จะไม่มีการปิดร้านค้าที่จำหน่ายสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตข้อกำหนดเหล่านี้ อาจจะสร้างความไม่สะดวกกับงประชาชนบ้าง แต่ขอให้ทุกท่านร่วมมือและเสียสละเพื่อส่วนรวมงานหลักๆ ที่เราจะต้องให้ความสำคัญมากที่สุดและดำเนินการควบคู่กันไปคือ งานป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการควบคุมพื้นที่ทุกพื้นที่ และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเช่นแอพพลิเคชั่นกำหนดโลเกชั่นมาช่วยในการเฝ้าสังเกตการณ์หรือควอรันทีน การรักษาพยาบาลรวมทั้งการเยียวยาฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโควิด-19” พล.อ.ประยุทธ์ แถลง
พล.อ.ประยุทธ์แถลงต่อว่า นอกจากนี้ตนจะปรับปรุงให้การสื่อสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 กับประชาชนให้มีความถูกต้องชัดเจนและครบถ้วน โดยตนสั่งการให้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์และมาตรการต่างๆ รวมถึงคำแนะนำต่อประชาชนเพียงวันละหนึ่งครั้ง เพื่อลดความซ้ำซ้อนลดการบิดเบือนข้อมูลและลดการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
“ขอยืนยันว่าประชาชนจะได้รับข้อมูลที่เป็นทางการตรงไปตรงมา โปร่งใสและชัดเจนจะเพียงแหล่งเดียวเป็นประจำทุกวันและขอให้ถือว่าข้อมูลที่ไม่ได้มาจากการแถลงประจำวันของคณะทำงานฉุกเฉินนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ นอกจากนี้ผมขอความร่วมมือให้สื่อมวลชนเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงานข่าว ขอให้ใช้ข้อมูลจากการแถลงประจำวันของทีมสื่อเฉพาะกิจและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลักแทนการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ต่างๆ เพื่อให้ท่านเหล่านั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าหากทำได้เช่นนี้สื่อมวลชนสื่อมวลชนจะเป็นกำลังสำคัญ ในการสู้กับโรคโควิด-19 ครั้งนี้ สำหรับผู้ใช้โซเชี่ยลมีเดียร์ทุกท่าน พวกเราคือทีมเดียวกัน ทุกท่านสามารถร่วมแชร์ข้อมูลที่ถูกต้องจากการแถลงประจำวัน ช่วยกันรายงานและต่อต้านการแชร์ข่าวปลอมและใช้ความคิดสร้างสรรค์ของท่านช่วยให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยรับรู้และเข้าใจข้อมูลได้ง่ายและกว้างขวางยิ่งขึ้น”
พล.อ.ประยุทธ์แถลงเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ขอเตือนกลุ่มคนที่จะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์บนความทุกข์ร้อนความเป็นความตายของประชาชนให้รู้ไว้ว่า อย่าคิดว่าจะหลุดพ้นไปได้ ตนจะทำทุกทางที่จะใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มคนเหล่านี้อย่างรวดเร็วเด็ดขาดและไม่ปรานีการบังคับใช้กฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการควบคุมโรคจะเข้มข้นขึ้นมากทั่วประเทศ ทั้งการเอาผิดผู้ที่ละเมิดกฎหมายและการเอาผิดข้าราชการและเจ้าพนักงานที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตามภาครัฐอย่างเดียวไม่สามารถฝ่าวิกฤตไปได้เพียงลำพัง ถ้าเราไม่จับมือและดึงภาคส่วนอื่นๆ เข้ามาเป็นทีมเดียวกันกับภาครัฐ
“ประเทศไทยโชคดีที่มีคนเก่งมากมายอยู่ในพรรคเอกชนและภาคประชาสังคมที่พร้อมจะช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาภายใน 1 สัปดาห์ ผมจะกระจายทีมงานไปทำความเข้าใจปัญหาและความต้องการของทุกกลุ่มรวมทั้งรับทราบศักยภาพของแต่ละกลุ่มในการที่จะเข้ามาร่วมมือกันแก้ปัญหาและผมจะดึงคนเก่งเหล่านี้มาร่วมกันทำงาน ต่อจากนี้ไปมาตรการต่างๆ ที่รัฐจะออกมา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อร้ายนี้จะมีความเข้มข้นขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน ผมขอความร่วมมือและขอให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม รวมทั้งปฏิบัติตามนโยบายป้องกันโรคระบาดนี้อย่างเคร่งครัดบางคนอาจจะรู้สึกเสียสิทธิเสรีภาพแต่มันเป็นการทำเพื่อปกป้องชีวิตของท่านเอง ของครอบครัวของท่าน และของคนไทยทุกคนหากพวกเราเข้าใจเข้มงวดและจริงจังในเวลาไม่นานผมมั่นใจว่าพวกเราจะสามารถก้าวพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปได้” พล.อ.ประยุทธ์แถลง
พล.อ.ประยุทธ์แถลงว่า ช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่สร้างความเจ็บปวดและท้าทายความรักความสามัคคีของพวกเราทุกคน แต่ขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่จะดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเราคนไทยทุกคนออกมานั่นก็คือ ความกล้าหาญความรักที่มีต่อพี่น้องประชาชนความเสียสละที่จะช่วยเหลือผู้อื่น รวมถึงความเอื้ออาทรต่อกันและกัน ซึ่งจะนำพาให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ ด้วยความสามัคคีความช่วยเหลือเกื้อกูลกันความมีน้ำใจของคนไทย ซึ่งหาไม่ได้จากชาติใดในโลก โควิด-19 ที่น่ากลัวและอันตรายได้สร้างความเสียหายไปทั่วโลกก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่โควิด-19 ไม่สามารถทำร้ายได้ก็คือ ความดีงามในใจและความสามัคคีของคนไทยจะกลับมาเป็นประกายไปทั่วพื้นแผ่นดินไทยอีกครั้ง
“ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีขอให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่าผมจะเดินหน้าสุดความสามารถ เพื่อนำประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ผมขอให้ทุกคนเชื่อมั่นและร่วมมือกันฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน ประเทศไทยที่รักของเราทุกคนจะต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้งเราจะสู้ไปด้วยกันและเราจะชนะไปด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์แถลง
Advertisement