เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 10 เม.ย. 63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) โดยระบุว่าวันนี้ตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ขอรายงานความคืบหน้าของมาตรการต่าง ๆ ที่ได้สั่งการ และรัฐบาลได้มีมติในแต่ละด้าน ตามลำดับดังนี้
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ประกอบด้วย มาตรการลดการแพร่กระจายของโควิด-19 ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การรณรงค์เพื่อการเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และส่งเสริมการทำงานที่บ้าน (Work from home) รวมถึงกลไกในการทำงานที่ขันแข็งของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ ที่ทำหน้าที่เหมือนมดงานในการเดลิเวอรี่ - หยิบยื่นสุขภาพดี ไปถึงหน้าประตูบ้าน ทุกครัวเรือน มุ่งเน้นผู้ที่กักตัวและเฝ้าระวังเชื้อ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ นับเป็นระบบสาธารณสุขพื้นฐานที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย
สำหรับมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ รัฐบาลได้ดำเนินการจัดหาหน้ากากอนามัย N95 เพิ่มอีกกว่า 200,000 ชิ้น สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งปัจจุบันสามารถอบความร้อนจากรังสี UV-C เพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำได้ 4 ครั้ง ปัจจุบันโควตาหน้ากากอนามัยสำหรับหมอและพยาบาลทั่วประเทศ อยู่ที่ 1.5 ล้านชิ้นต่อวัน ส่วนหน้ากากผ้าสำหรับประชาชนทั่วไป ผู้ที่ไม่มีอาการป่วย ได้ให้แต่ละชุมชนผลิต เพื่อแจกจ่ายกันเองครบตามเป้าหมายแล้วกว่า 50 ล้านชิ้น ซึ่งถือว่าเพียงพอ
โดยหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า N95 และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ เหล่านี้ ศบค.มีข้อมูลตั้งแต่โรงงานผลิต การจัดส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทย ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย ไปจนถึงการกระจายในพื้นที่ ประชาชนสามารถตรวจสอบทุกขั้นตอนได้
ส่วนการนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศจีนและญี่ปุ่น ที่ผ่านมาดำเนินการไปแล้ว 5 ครั้ง รวม 187,000 เม็ด และอยู่ระหว่างกันจัดหาเพิ่มเติมอีก 200,000 เม็ด นอกจากนี้การจัดเตรียมเตียงเพิ่มและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ในการรองรับดูแลผู้ป่วย 98 แห่ง ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หาห้อง ICU เพิ่มอีก 80 เตียง เพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต รวมทั้งความพร้อมของสถานที่กักตัวเฝ้าระวังของรัฐ ทั้งในกรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค สามารถรองรับได้ประมาณ 20,000 คน โดยประเด็นที่ตนให้ความสำคัญอย่างมาก คือการป้องกันไม่ให้บุคลากรทางการแพทย์ต้องติดเชื้อเพิ่มเติมอีก
ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง ประกอบด้วย การจำกัดการเดินทางระหว่างจังหวัด และการประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ช่วงเวลา 22.00-04.00 น. เป็นเวลา 6 ชั่วโมง ทั้งนี้ ศบค. จัดกำลังพลกว่า 20,000 นาย ตั้งจุดตรวจรูปแบบต่าง ๆ มากว่า 1,000 แห่ง ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนดีขึ้น เพิ่มขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ฝ่าฝืน มีการมั่วสุม ชุมนุมกันในยามวิกาล กว่า 6,500 ราย ในช่วงวันที่ 3–10 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก เนื่องจากถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเกินไป ในแง่การจำกัดการแพร่ระบาดของโรคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ใช้กฎหมายเพิ่มเติมให้รุนแรง หรือประกาศเคอร์ฟิวที่มากขึ้น
บุคคลที่ขาดจิตสำนึก ขาดความรับผิดชอบเหล่านี้จะทำให้พ่อแม่ พี่น้อง ประชาชน คนไทย ที่หาเช้ากินค่ำ และคนส่วนใหญ่ ต้องลำบากในการใช้ชีวิตในช่วงเวลานี้ ตนขอเตือนให้แก้ไขตัวเอง ศบค.ยังไม่มีแนวความคิดที่จะขยายเวลาการห้ามออกนอกเคหะสถานในเวลานี้
ด้านการควบคุมสินค้า สถิติการร้องเรียนการขายสินค้าราคาแพง การกักตุนสินค้า และการปฏิเสธการขายสินค้าโดยไม่มีเหตุผล มีเป็นจำนวนมาก โดยช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา สามารถจับกุมและดำเนินคดีการขายสินค้าเกินราคาได้ 20 ราย การไม่ติดป้ายแสดงราคาสินค้า 36 ราย การจงใจทำให้ราคาสินค้าต่ำ หรือสูงเกินสมควร ทำให้เกิดการปั่นป่วน 75 ราย เป็นต้น
นอกจากนี้ นับตั้งแต่ 4 ก.พ. 63 ที่ประกาศให้หน้ากากอนามัย และเจลล้างมือแอลกอฮอลล์เป็นสินค้าควบคุม มีสถิติการกระทำความผิดเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์ โดยจับกุม 334 คดี ยึดของกลางเป็นหน้ากาก กว่า 2,700,000 ชิ้น แอลกอฮอลล์ เกือบ 330,000 ลิตร ชุดตรวจ Covid-19 60,000 ชุด และเครื่องวัดอุณหภูมิ กว่า 4,000 เครื่อง คิดเป็นมูลค่ารวม มากกว่า 177 ล้านบาท
ด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หลักการสำคัญ คือ วันนี้ต้องรอด วันข้างหน้าต้องกลับมาเข้มแข็ง ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการดูแลและเยียวยา ทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 1 และ 2 ซึ่งเป็น "ระยะเร่งด่วน" สำหรับประชาชนทุกกลุ่มไปแล้ว ล่าสุด รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมในระยะที่ 3 อีก เพื่อรักษา เยียวยา และเตรียมความพร้อมของประเทศในทุกมิติ เป็นวงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 9-10 ของ GDP ประกอบด้วย
1. การออก พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา วงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยครอบคลุม 3 แผนงานหลัก ได้แก่ (1) แผนงานด้านสาธารณสุข เพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรค และสนับสนุนการทำงานและงานวิจัย (2) แผนงานเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ครอบคลุมประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง โดยสองแผนงานนี้จะใช้งบประมาณรวม 6 แสนล้านบาท และ (3) แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม การสร้างงานใหม่ การกระตุ้นการบริโภค การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้กลับสู่ภาวะปกติ ยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อรองรับการพัฒนาในระยะยาว โดยแผนงานนี้ใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาท
2. การออก พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจประเทศที่สำคัญอย่างยิ่ง วงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการร่วมกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงิน โดยการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ และป้องกันมิให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ของภาคธุรกิจในวงกว้าง
นอกจากนี้ยังพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็นระยะเวลา 6 เดือน และการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ประกอบการ เข้าข่ายที่จะได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการนี้จำนวน 1.7 ล้านราย จะช่วยพยุงระบบเศรษฐกิจของไทยให้กลับมาฟื้นตัวได้
3. การออก พ.ร.ก.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อให้ป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ที่อาจลุกลามส่งผลร้ายอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจได้
4. การเตรียมยกร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ โดยให้หน่วยงานปรับลดงบประมาณ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของวงเงินคงเหลือที่ไม่มีข้อผูกพัน เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด ปัญหาภัยแล้ง และปัญหาภัยพิบัติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณนี้ โดยคณะรัฐมนตรีจะเร่งเสนอร่างกฎหมายโดยเร็ว และคาดว่าจะทูลเกล้าถวายได้ไม่เกินกลางเดือน มิ.ย. 2563
5. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการ การเพิ่มบุคลากรแพทย์ พยาบาล และข้าราชการของกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลของสถาบันอุดมศึกษา ในสังกัดกระทรวงอุดมศึกษาฯ กว่า 45,000 อัตรา ทั้งในส่วนของอัตราข้าราชการตั้งใหม่ จำนวนกว่า 38,000 อัตรา และอัตราข้าราชการตั้งใหม่ สำหรับนักเรียนแพทย์ ปี 2563 จำนวนกว่า 7,000 อัตรา
โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณารายละเอียดให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ นอกจากนั้น รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการแพทย์แผนไทย โดยจะได้มีการพิจารณาดูแลด้วยการปรับเกลี่ยในระยะแรกจากอัตราที่ว่างอยู่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะได้ดำเนินการและชี้แจงให้ทราบในโอกาสต่อไป
และ 6. การเพิ่มจำนวนหน่วยใช้ไฟฟ้าฟรีจาก 50 หน่วยต่อเดือน เป็น 90 หน่วยต่อเดือน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน ซึ่งคาดว่าประชาชนได้รับผลประโยชน์ 6.4 ล้านราย
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณีประโยชน์ทดแทนการว่างงานของผู้ประกันตน โดยได้อนุมัติหลักการให้กระทรวงแรงงานร่างกฎกระทรวง 2 ฉบับ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทน จากการว่างงานใน 2 กรณี คือ กรณีเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และเกิดเหตุสุดวิสัย
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการว่างงานที่ครอบคลุมการว่างงานจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิดในครั้งนี้ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมด้วย เช่น การว่างงาน เนื่องจากการให้ปิดเมือง การออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการประกาศเคอร์ฟิว รวมทั้งการให้หยุดประกอบกิจการดังกล่าว ที่มิได้เป็นผลจากคำสั่งของทางราชการโดยตรงนอกจากนี้ ลูกจ้างยังคงมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานด้วย
กรณีการใช้จ่ายงบประมาณเงินกู้ หรืองบประมาณใดก็ตาม ที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาโควิด ในการสาธารณสุข เยียวยา ดูแล ฟื้นฟูประชาชนทุกภาคส่วน จะมีคณะกรรมการพิจารณา ติดตาม กำกับดูแล คัดแยก เพื่อให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น ผอ.ศบค. และนำเข้า ครม.เพื่ออนุมัติก่อน จึงจะดำเนินการได้ เรื่องใดก็ตามที่หลุดออกมาเป็นข่าว ตามสื่อโซเชียล หากไม่ผ่านมติ ครม.อนุมัติ ก็ถือว่าเป็นข่าวปลอม เชื่อถือไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อไม่ต้องการให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน
ด้านการต่างประเทศ ที่ผ่านมาเน้นการกักกันผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ 14 วัน ปัจจุบันได้มีมาตรการชะลอการเดินทางกลับของชาวไทยในต่างประเทศออกไปจนถึงวันที่ 18 เม.ย. เนื่องจากข้อเท็จจริงตามสถิติ ชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยา เพื่อลดผลกระทบในระหว่างที่ต้องอาศัยในต่างแดน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ในรูปแบบ "เงินช่วยเหลือ" เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นต้น
และด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤติ ปัจจุบัน ยังคงปรากฏมี ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน อย่างต่อเนื่อง เฉพาะเมื่อวานนี้ มีคดีจำนวนทั้งสิ้น 26 คดี จับกุม-แจ้งข้อหา จำนวน 10 คดี มีผู้ต้องหา 13 ราย และออกหมายเรียกผู้ต้องหาอีก จำนวน 3 คดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้ายว่า นับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 100 วันแล้วที่เราได้ร่วมต่อสู้กันมาในสงครามโควิด-19 ในครั้งนี้ ด้วยการเตรียมความพร้อม และการเฝ้าระวังที่เข้มงวดตั้งแต่ต้น ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข และความร่วมมือของทุกฝ่าย ทำให้เรามียอดผู้ป่วยในระดับที่ควบคุมได้ มีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศชั้นนำ และมีความพร้อมรับมือในทุก ๆ ด้าน เป็นข้อพิสูจน์ว่าการดำเนินการของเรานั้นมีประสิทธิภาพประเทศต่าง ๆ ยกให้เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับโควิด 19 ขอให้พวกเราทุกคนเชื่อมั่นในมาตรการของรัฐ และมีวินัยอย่างเคร่งครัดในการปฏิบัติตาม
"ขอให้สัญญาว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หน้าที่ของผม คือดูแลคนไทยทุกคนทั้งประเทศ ขอให้พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน พวกเราคือทีมประเทศไทย หากเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีศึกใดที่เราจะเอาชนะไม่ได้"
สำหรับบุคคลากรด้านสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย พยาบาล เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลและสถานีอนามัยต่าง ๆ พร้อมทั้งสมาชิก อสม. นับล้านคน ทั่วประเทศ ที่ทำงานอยู่ในด่านหน้าของพวกเรา รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร และจิตอาสา ทุกท่านที่ปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแล และให้บริการประชาชน ในวิกฤตินี้ ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อสุขภาพของท่านเอง ตนอยากบอกให้ทุกคนทราบว่า ท่านคือ ความหวัง คือ “ฮีโร่” ที่อยู่ในหัวใจของตน และหัวใจของคนไทย ทั้ง 70 ล้านดวง ตนขอขอบคุณในความเสียสละของทุกท่าน
สัปดาห์หน้าเป็นช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ แม้ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ประกาศเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ แต่ให้ทำงานตามปกติ แล้วจะชดเชยภายหลัง แต่ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่เสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโควิด
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญ ทั้งข้อห้ามและข้อแนะนำ ดังนี้ (1) งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ (2) งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลำเนา (3) งดเว้นการรดน้ำขอพรญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี และ (4) งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม เพื่อสืบสานประเพณีอันดีงาน และมีคุณค่าทางจิตใจ จึงขอให้ปฏิบัติ ดังนี้ (1) สรงน้ำพระพุทธรูปที่บ้าน (2) การแสดงความกตัญญู ขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ที่อยู่ในบ้านเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล 1 - 2 เมตร และให้ทุกคนใส่หน้ากากอนามัยด้วย (3) ส่งเสริมให้แสดงความรักและความกตัญญู ต่อบุพพการี – ผู้มีพระคุณ ที่อยู่ไกลกัน ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือสื่อออนไลน์ และในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทย ที่จะมาถึงในเร็ววันนี้
"ผมในนามของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ขออวยพรให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจร่วมต่อสู้วิกฤตินี้ไปด้วยกัน และขอให้สงกรานต์นี้ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อครอบครัว กันให้มากที่สุด เราจะร่วมกันฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้ให้จงได้ "ประเทศไทยจะต้องชนะ" อย่างแน่นอน"
Advertisement