เดือด! “หนุ่ม กรรชัย” ฟาด พ่อแม่สอนมาแบบไหน รีดเงิน 20 ล้าน

“หนุ่ม กรรชัย” เดือด!พ่อแม่สอนมาแบบไหน ปมรีดเงิน 20 ล้าน ลั่นความสัมพันธ์กับฟิล์มมันจบลงแล้ว ไม่เคยคิดว่าเป็นน้อง หยุดแถเพราะปชช.ไม่ได้กินหญ้า

วันนี้ (14 พ.ย.67) เวลา 19.20 น. หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าให้ปากคำพงส.กก.1 บก.ป. กรณีที่มีคลิปเสียงเรียก 20 ล้านไปออกรายการโหนกระแส

คอนเทนต์แนะนำ

นาที ดีเจแมน ได้รับอิสรภาพ เผยอยากเจอลูกสาวที่สุด

แม่ร่ำไห้รับศพ แบงค์ เลสเตอร์ เอ็ม-เบิร์ด ขอสังคมอย่าหากินกับคนตาย

หวิดดับหมู่! รถตู้ฉุกเฉินเสียหลักพลิกคว่ำเจ็บ 4 ราย

โดยหนุ่ม กรรชัย บอกว่า ตนเองได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วกรณีของ ฟิล์ม รัฐภูมิ บอสปัน และนางสาวกฤษอนงค์ ที่มีการพูดคุยกันและพาดพิงถึงตนเอง และรายการโหนกระแส ว่า มีการเรียกรับเงิน 20 ล้าน เพื่อจะไปออกรายการโหนกระแส โดยใช้ถ้อยคำว่าสามารถที่จะเขียน บทหรือสคริปต์ หาทางลงกับบอสพอลได้ถ้าเกิดพอมาออกรายการ หลังจากนั้นก็มีการติดต่อไปหาคุณฟิล์ม โดยที่คุณกฤษอนงค์โทรไปให้บอสปันคุย และมีการบอกว่าได้มีการพูดคุยกับตนแล้ว และอ้างว่าตนสามารถทำจากผิดให้เป็นถูกและถูกให้เป็นผิดได้ สามารถคุยได้หมดเลย และมีการเรียกเงิน 20 ล้าน

หนุ่มกรรชัย บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการพูดออกไป ตนถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทตน และไปโกหกหลอกลวงคนอื่น เพื่อเป็นการกรรโชกทรัพย์ โดยได้ดำเนินคดี ทั้ง 2 คน ฟิล์ม รัฐภูมิ และกฤษอนงค์ ในข้อหาหมิ่นประมาท แต่หากเรื่องนี้มีข้อกฎหมายไหนเข้าไปเกี่ยวได้ ก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีทุกช่องทาง

ส่วนคลิปเสียงที่อ้าง ชื่อนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น หนุ่ม กรรชัย บอกว่า ต้องให้รัฐมนตรีเป็นคนจัดการเอง ซึ่งตนเองก็จะส่งคลิปนี้ให้กับท่านรัฐมนตรี เพื่อให้รัฐมนตรีไปดำเนินการ

นักข่าวถามว่า หลังจากที่ฟิล์ม รัฐภูมิ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (13พ.ย.67) ได้โทรติดต่อมาหาหรือไม่ หนุ่มกรรชัย บอกว่า ฟิล์มได้โทรมาหาตนครั้งหนึ่ง แต่ตนไม่ได้รับ และไม่ได้โทรกลับ ส่วนจะสำนึกได้หรือไม่นั้น ตนตอบทนไม่ได้

นักข่าวถามว่าไม่อยากคุยใช่หรือไม่ หนุ่มกรรชัย บอกว่า “ไม่ใช่ไม่อยากคุย แต่ไม่คุยดีกว่า เพราะไม่มีอะไรต้องคุย ซึ่งในส่วนของกฎหมายตนเองตอบไม่ได้ว่าจะไปจบลงตรงไหน แต่ความสัมพันธ์ของผมกับเขามันจบลงแล้ว”

หนุ่มกรรชัย ยังบอกว่า “ก่อนหน้านี้ผมโทรไปเพื่อวัดใจเขา ถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกผมบอกว่ามีคนมาบอกว่า ฟิล์มไปทำแบบนี้ แต่เขาก็บอกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นครับ มันเป็นเงินที่เขาเสนอมาเอง ผมไม่ได้ไปอะไรเลย ผมก็เลยวางสายไป พอครั้งที่ 2 ผมก็โทรอีก เพื่อหวังว่าให้เขาตั้งสติได้ ก็ถามใหม่ ก็ยังพูดเหมือนเดิม จนครั้งที่ 3 ประมาณสัก 5 ทุ่มกว่าๆของคืนวันจันทร์ ผมก็โทรไปอีก และผมก็บอกว่าได้ยินเสียงหมดแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่ามีคลิปอยู่ในมือ ผมบอกแค่ว่ามีคนเปิดให้ฟัง และผมก็เล่าให้ฟังว่าในคลิปฟิล์มพูดยังไงบ้าง ฟิล์มขอเงินสด แต่เขาก็ยังบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็อาจจะเป็นการตัดต่อให้ดูเหมือนผมเองไปเรียกเงินเขา ซึ่งสำหรับผมเองผมทำรายการมานานและอยู่กับการสัมภาษณ์คนมาเยอะ ผมเห็นหลักฐานผมเห็นคลิปมาเยอะ ค่อนข้างจะมั่นใจว่า คลิปที่ผมมีอยู่ในมือตอนนั้น 29 นาที มันไม่มีการตัดต่อ ผมก็เลยตัดสินใจว่า ผมให้โอกาสถึง 3 ครั้งแล้วเพราะฉะนั้นผมก็เลยทิ้งท้ายก่อนจะวางสายว่า ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นฟิล์มก็รับผิดชอบเอาเองแล้วกันนะ ซึ่งผมก็บอกว่าผมอัดเสียงไว้ทั้งหมด เขาก็บอกว่าโอเคยินดี เพราะเขาก็รู้ว่าพี่ต้องอัดเสียง”

หนุ่มกรรชัย บอกว่า หลังจากวางสายฟิล์ม รัฐภูมิ ตนเองก็ได้โทรหา พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เพื่อปรึกษาว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จะทำยังไง พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ก็แนะนำว่า ต้องแจ้งความ จึงได้โทรหาทนายความว่า พรุ่งนี้ขออนุญาตให้ทนายตุ๋ย ไปแจ้งความและส่งคลิปให้ทนายตุ๋ย ไปแจ้งความ

หนุ่มกรรชัย บอกว่า ถ้าคืนนั้นฟิล์ม ยอมรับกับว่า ใช่ครับผมทำแบบนี้เอง ผมขอโทษนะพี่ อะไรก็แล้วแต่ แต่ขอให้ยอมรับความจริง ตอนเช้าตนจะไม่เปิดคลิปนี้ แต่จะให้ทนายตุ๋ยมาแจ้งความไว้เป็นหลักฐานก่อน และตนก็จะขอให้ฟิล์ม ออกมาชี้แจงว่าสิ่งที่เขาทำคืออะไร แต่ว่าสุดท้าย มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดของผม ว่าคนๆ หนึ่งมันจะมีความคิดที่ดีได้ แต่ในเมื่อสุดท้ายมันยังเป็นแบบนี้อยู่ มันก็แล้วแต่เวรแต่กรรมครับ

เมื่อนักข่าวถามว่า หากฟิล์ม รัฐภูมิออกมายอมรับ ว่าการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ (13พ.ย.67) ไม่ใช่ความจริงจะให้อภัยได้ไหม หนุ่ม กรรชัยบอกว่า อย่างที่บอกนับจากวินาทีนั้นที่วางหูไป เขาจะออกมาพูดอะไรเป็นสิทธิ์ของเขา ในมุมของข้อกฎหมาย ตนไม่รู้จะไปจบตรงไหน แต่ความสัมพันธ์ของตนกับเขามันจบแล้ว เพราะฉะนั้นไม่เอาแล้ว ตนไม่ชอบคนที่ทำอะไรแบบนี้ รู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมเสื่อมทราม การไปใช้จุดอ่อน ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ต้องหา หรือเป็นคนที่กระทำความผิดจริงหรือไม่จริง ซึ่งยังบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือการใช้จุดอ่อนของคนบางคน เข้าหาเขาแล้วใช้วิธีแบบนี้ ตนมองว่ามันไม่แฟร์ มันไม่ถูกต้อง

และอย่างที่บอก “ตนและประชาชนกินข้าวไม่ได้กินหญ้า เราไม่ใช่ควาย ไม่ใช่วัว เรามีสมองเรามีสามัญสำนึก เรามีวุฒิภาวะรับรู้ได้ว่าอะไรคืออะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณออกมาพูดคุณจะกลายเป็นตัวตลกด้วยซ้ำไป”

ส่วนกรณีที่กฤษอนงค์ อ้างว่า ไม่ได้เป็นการกรรโชกทรัพย์ หรือตบทรัพย์ แต่เป็นการวางแผนธุรกิจ หนุ่ม กรรชัย ได้ย้อนถามกลับว่า”คุณตีความกรรโชคทรัพย์ไว้แบบไหน แต่การที่ตนฟังแล้วคุณไปบอกเขาว่า ถ้าเกิดว่าไม่ทำแบบนี้ กรรชัยเขาชี้ผิดชี้ถูกเลยนะ เดี๋ยวซวยเลยนะ คุณคิดว่าคำนี้กรรโชกไหม เพราะคนที่เขากลัวอยู่เขาต้องตกใจ และยอมที่ต้องจ่ายเงิน ซึ่งแบบนี้เรียกว่าเป็นการพยายามกรรโชคทรัพย์ไหม ซึ่งคุณก็มีบริษัทกฎหมายและมีทนายอยู่ในมือ คุณไปถามทนายดูก่อนว่าสิ่งที่คุณพูดมา ไปถอดทีละคำดูว่า คุณกรรโชกหรือเปล่า หรือเขาเรียกว่าอะไรผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน”

ส่วนค่าเสียหาย จากการหมิ่นประมาทครั้งนี้ ยืนยันว่าจะเรียกมากกว่า 20 ล้าน และคดีนี้จะไปให้ถึงที่สุด ไม่มีการยอมความ เพราะตนไม่ใช่นักเคลียร์ และต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำไป

เมื่อนักข่าวถามว่า ยกกระเช้า ไหว้สวย รับไหม หนุ่ม กรรชัย บอกว่า “ไม่เอากระเช้าที่บ้านเยอะอยู่แล้ว และผมอยากได้กระเช้าสีขาวไม่อยากได้กระเช้าสีเทาด้วย”

ส่วนจะใช้คำว่ามันจบแล้วครับน้องได้หรือไม่ หนุ่ม กรรชัย ถามกลับว่า “เขาเป็นน้องผมตอนไหน ผมไม่มีน้องทำอะไรแบบนี้ ผมรู้จักเขามานานก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนรู้จักนาน จะต้องสนิท คนสนิทคือคนที่โทรปรึกษากัน แต่ผมกับเขาไม่มี ผมแค่ทำงานร่วมกันแยกย้ายกันก็เท่านั้น ก็จบความสัมพันธ์ วันหนึ่งมีอะไรต้องทำร่วมกันก็คุยกัน สำหรับผมก็คือคนรู้จักกัน”

หนุ่มกรรชัย ยังบอกว่า ที่ผ่านมาว่ารายการโหนกระแส เป็นเป้าที่ถูกรีดเงินจากผู้เสียหาย ซึ่งมีตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน แต่ครั้งนี้ ตนคิดว่ามันเกินไป มันเป็นจำนวนเงินที่เยอะ และเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม

พร้อมกับย้อนถามว่า “คุณลำบากยากแค้นที่ต้องทำแบบนี้เลยเหรอ มันไม่มีศักดิ์ศรีเลยเหรอม นุษย์คนหนึ่งมันต้องมีศักดิ์ศรีจะผู้ชายผู้หญิงมันต้องมีศักดิ์ศรี แต่สิ่งที่คุณทำมันไร้ซึ่งศักดิ์ศรี”

นักข่าวถามว่ามีอะไรอยากจะเตือนไหม หนุ่ม กรรชัย ตอบกลับว่า “เตือนแล้วฟังหรือเปล่า ไม่เตือนดีกว่า ผมเชื่อว่าผิดชอบชั่วดีมันเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนมา ตั้งแต่เด็กๆ ครูบาอาจารย์ ก็ต้องสอนสิ่งที่คุณเป็นอยู่วันนี้คุ ณก็ต้องย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ ของคุณว่าที่บ้านคุณสอนหรือเปล่า ว่าให้คุณเป็นคนดียังไง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นสอน”