วันนี้ (18พ.ย.67) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เดินลงมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังเข้าข้อมูลกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนในคดีเจ๊อ้อย นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นาน 4 ชั่วโมงเต็ม
โดยนายปานเทพ ระบุว่า ในฐานะสื่อมวลชนที่รับข้อมูลจากคนสองกลุ่ม คนกลุ่มหนึ่งก็คือผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ อีกคนกลุ่มหนึ่งก็คือพยานปากสําคัญ ที่เกี่ยวข้องกับหลายขบวนการที่เกิดขึ้นก็คือฝั่งมี่และเตอร์ ทางฝั่งผู้เสียหายก็คือพี่อ้อย วันนี้ในฐานะสื่อที่รับข้อมูลทั้งสองฝั่งวันนี้ก็ถือว่าเจอพี่อ้อย 3 ครั้ง เจอมี่กับเตอร์ 1 ครั้งก็ประสานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ให้การไปตามข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าได้รับข้อมูลอะไรบ้าง ส่วนพยานหลักฐานที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาแชตไลน์ หรือวิดีโอ ภาพถ่ายทั้งหมด คู่กรณีและพยานได้ส่งมอบให้กับตํารวจทั้งหมดแล้ว ตนอาจจะมีเก็บตกในรายละเอียดบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว และเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของตำรวจสอบสวนกลางน้้น คดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันนี้ และจะเป็นที่ยุติอย่างชัดเจนว่าเป็นกระบวนการฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
ขณะที่ ความสําคัญของคดีนี้ จะยึดโยงมาถึง 71 ล้าน หรือ 9 ล้าน 13 ล้านนั้น นายปานเทพ ระบุว่า ตัวชี้ขาดจะเป็นคดี 39 ล้านเพราะว่าจะเห็นพฤติการณ์ทั้งหมด ที่แบ่งเป็นขบวนการที่เกิดขึ้นและทําให้เห็นว่า การที่จะเอาเงินจากพี่อ้อย มาทั้งหมด เป็นการวางแผนที่เตรียมการสู้คดีเอาไว้ด้วย ตั้งแต่แรก ตั้งแต่การร่างสัญญา การส่งไฟล์วิธีคิดในการต่อสู้คดีความวางแผนไว้ทั้งหมด ณ จนถึงวันนี้ ตนมั่นใจแล้วว่า ตํารวจมีพยานหลักฐานครบอย่างแน่นอน
“จากคดีจาก 39 ล้านจะทําให้เราเข้าใจ 71 ล้าน 9 ล้านในแต่ละกรณีทั้งหมดว่า มันคือการออกแบบไว้ทั้งหมดตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นเวลามีการออกแบบไว้ล่วงหน้ามันก็น่าจะเข้าข่ายการฉ้อโกง ไม่สามารถจะเรียกว่าเป็นการให้โดยเสน่หาได้แล้ว เพราะเป็นการกระทําซ้ำๆ เป็นการแบ่งงานกันทําแบ่งเป็นขบวนการ โดยเฉพาะคดี 39 ล้านก็เรียนให้ทราบว่าต้องยกเครดิตให้กับทางตํารวจ เพราะว่าสามารถหาพยานหลักฐานจนมัดแน่นแล้วว่ามี แบ่งเงินกันยังไง แบ่งให้ใครแล้วไปที่ไหน แล้วไปใช้จ่ายอะไรบ้าง โดยถึงวันนี้ไม่ว่าเส้นเงิน และพยานหลักฐานทุกอย่างมัดแน่นครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าทนายใครก็ตามที่จะรับคดีต้องคิดหนักแม้กระทั่งทนายสายหยุด ก็ต้องคิดหนัก แต่ตนไม่เปิดเผยหลักฐานในคดี ส่วนตัวเชื่อว่า เข้าสู่กระบวนการฟ้องก็จะเห็นหลักฐานทั้งหมดเชื่อว่าในเร็ววันนี้ทาง ตํารวจจะไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ ทนายษิทราถึงตอนนั้นก็จะเห็นเองว่าพยานหลักฐานตํารวจมัดแน่นหนาขนาดไหน เชื่อว่าดิ้นหลุดยาก”
ส่วนตัวมองว่าเรื่อง 39 ล้าน ชัดมาก มันทําให้ขบวนการและมีการวางแผนล่วงหน้า เป็นขั้นเป็นตอนเป็นการชี้ขาดกระบวนวิธีคิด ทำให้ไม่สามารถดิ้นไปทางให้โดยเสน่หา เช่น การแสร้งไปพูดว่าอย่าไปโอนเลยอาจจะเป็นมิจฉาชีพไปคุยกับพี่อ้อย แต่สุดท้ายคุณโทรศัพท์ในขั้นตอนการเบิกเงินหมด ยังไม่นับกระบวนการรับเงินและนับเงิน และการแบ่งเงินมันไปกันอย่างไร ถ้าตํารวจไม่มีหลักฐานเนี่ยเสร็จเหมือนกันหลงทางได้เหมือนกันหรือมีการวางพล็อตเรื่องว่าตัวเองเดินทางไปต่างประเทศในวันถอนเงินสด โดยรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ใช้โทรศัพท์ประสาน ซึ่งปัญหาคือ แล้วเขาเกี่ยวพันอย่างไรทนายตั้มและครอบครัวเกี่ยวอย่างไร และอยู่ต่างประเทศจริงหรือไม่และอย่างไรเนี่ยผมจะทิ้งโจทย์นี้ไว้ให้ทางผู้สื่อข่าวไปสืบสวนสอบสวนต่อหาข้อเท็จจริงและทางตํารวจ เขารู้ทั้งหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นนะตนจะยังไม่เปิดในตอนนี้เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี
นักข่าวถามต่อว่า ล็อกเป้าฉ้อโกงเจ๊อ้อยจริงหรือไม่ นายปานเทพ ระบุว่า แน่นอนพี่อ้อย เป็นเป้า หลังจากเริ่มพึ่งพาคําปรึกษาจากทนายตั้ม ก็รู้แล้วว่าบุคคลรายนี้ไม่มีความรู้ และแม่นยําด้านกฎหมาย เมื่อหวังมาพึ่งพาตนเองก็ใช้โอกาสนี้ในการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อนําไปสู่การนําเงินมาเป็นส่วนตัวของตัวเอง โดยยกตัวอย่างว่าจะมีใครพิมพ์แชตไลน์เยอะๆ ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างหลักฐานให้กับตัวเองว่าไปคุยกับพี่อ้อย ทั้งๆ ที่เป็นการคุยกับเลขา ตรงนี้มันผิดวิสัยการเล่าเรื่องลักษณะแบบี้มันเป็นการสร้างหลักฐานประดิษฐ์ หลักฐานผลิตเอกสาร เพื่อทำให้เชื่อว่ามีการพูดคุยกับพี่อ้อยจริง ซึ่งพี่น้อยเขาเป็นเลขา เขาไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่ในร่องรอยของการพิมพ์เอกสารก็ทิ้งโจทก์เอาไว้ว่ามันไม่เนียนตรงที่ว่าไปขอให้พี่น้อยไปเจรจากับพี่อ้อย ถ้าเป็นที่ยุติแล้ว พี่น้อยไม่จําเป็นต้องเจรจาอะไรกับพี่อ้อยอีก ยังมีพิรุธอีกเยอะดังนั้น “ยังทําไม่เนียน ต้องไปฝึกใหม่”
ส่วนจะมีการไปแจ้งข้อหาเพิ่มกับทายตั้ม หรือจะมีการออกหมายจับหรือมีการดําเนินคดีกับใครในคดี 39 ล้านบาทอีหรือไม่นั้นนายปานเทพ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องไปถามที่ตํารวจ แต่เขณะนี้มันขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนที่กําลังถูกสืบสวนสอบสวน ผู้ที่เข้าร่วมขบวนการ แต่ไม่ได้เป็นผู้ที่ไปร่วมกันฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ก็ต้องถูกมองว่าเป็นพยานหรือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถ้าจะเป็นพยานก็ต้องให้ความร่วมมือกับทางตํารวจ แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่เข้าร่วมขบวนการหรือปลอมแปลงเอกสาร ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ให้ตามข้อเท็จจริง ตํารวจสืบข้อเท็จจริงได้จะอยู่ในสถานภาพจํานนต่อหลักฐาน เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้นายนุ กับสารินี จะปฏิเสธ หรือไม่ให้ความร่วมมือกันแค่ไหน
ส่วนประเด็นเรื่องพินัยกรรม นายปานเทพ ระบุว่า ให้ไปฟังทั้งหมดที่เดียวในรายการคุณสนธิทอล์กเท่านั้น
Advertisement