จากลูกชาวนา สู่เส้นทางการเป็นตำรวจ เบื้องลึกตำนาน "มือปราบหูดำ" ของ ผู้การแต้ม พลตำรวจตรี วิชัย สังข์ประไพ ย้อนอดีตเคยสอบตกนักเรียนนายร้อยเพราะหูดำ
เปิดเบื้องลึกตำนาน "มือปราบหูดำ"
ฉายามือปราบหูดำ มาจากการทำงานป้องกันปราบปราม ซึ่งสมัยก่อนผมมีชื่อเสียงในการปราบปรามคนร้าย เขาเลยเอาชื่อในการทำงานของผม มาบวกสัญลักษณ์ที่เราหูดำเลยกลายเป็นมือปราบหูดำ
ดาวเด่นสารพัดฉายา
ตั้งแต่รับราชการมามีหลายฉายามาก สมัยก่อนผมเคยเป็นสารวัตรจราจรอยู่บางเขน ซึ่งเป็นสถานที่ที่รถติดมากที่สุด ผู้ใหญ่ให้ผมไปแก้ปัญหาการจราจรที่นั่น และตัวผมเองก็หนีหน้าที่ด้วย ไม่อยากทำงานหน้าที่สืบสวนแล้ว เพราะตอนนั้นผมต้องยอมรับว่าพอท่านประทิน สันติประภพ มาเป็น ผบ.ตร. ผมกลัวว่าถ้าท่านมาจับนู่นจับนี่เราจะย้ายแล้วเราจะเสียประวัติ ผมก็ขอนายว่าไปโบกรถแล้วกัน ผมก็ไปอยู่ที่นั่นประมาณ 8 เดือน ไปพัฒนาระบบจราจรที่นั่น ทำทุกอย่าง จึงได้ฉายาว่า สารวัตรอมยิ้ม เพราะผมโบกรถไปอมยิ้มไป ทำความรู้จักพี่น้องประชาชน ปีใหม่เอาอมยิ้มไปแจก
พอผู้ใหญ่เขาเปลี่ยนผู้บัญชาการนครบาล ผู้บัญชาการคนนี้เขาเก่งเรื่องสืบสวนสอบสวน เขาก็ด่าผม เขาขับรถมาเจอผมเขาด่าเลย ไอ้โง่ๆ แล้วเขาก็ปิดประตูไป เพราะเขาเห็นผมมีความรู้เรื่องสอบสวน แล้วมึงจะมาโบกรถทำไม พอแกเป็นผู้บัญชาการเสร็จแกย้ายผมเลย ให้มาเป็นสารวัตรสืบสวนนครบาลใต้ คุม 17 โรงพัก
พอมาทำปราบปรามผมก็เริ่มมีชื่อเสียง เลยเปลี่ยนฉายามาเป็นมือปราบอมยิ้ม หลังจากทำงานสืบสวนปราบปรามมาจนมีชื่อเสียงและวิสามัญเยอะ บางคนก็เลยเรียกผมว่ามือปราบวิสามัญบ้างเรียกมือปราบสัปเหร่อบ้าง
หมายความว่าเจอผมตายแน่นอน เมื่อก่อนผมอยู่ สืบ 8 รับรองว่าคนร้ายย้ายถิ่นฐานหมดเพราะผมเอาจริง ผมก็เลยได้รับฉายาว่ามือปราบสัปเหร่อ แล้วพอมาเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เป็นรองผู้บัญชาการ ฉายานี้เขาก็เลยเรียกว่ามือปราบหูดำ
จากลูกชาวนา สู่ชีวิตสีกากี
สมัยก่อนผมก็เป็นลูกชาวนาอยุธยา ค่อนข้างยากจน ผมเรียนได้แค่ ป.7 แล้วพ่อไม่มีปัญญาส่งมาเรียนที่กรุงเทพแต่เวลาเรานั่งอยู่บ้านที่ติดกับคลอง ทุกเช้าทุกเย็นจะเห็นเรือที่มีคนในเรือเต็มลำ แล้วจะมีข้าราชการ 2 ข้าราชที่นั่งไปในเรือนั้น คือข้าราชการทหารและข้าราชการครู เราเห็นทหารเขาโก้ เพราะบางวันก็แต่งเครื่องแบบ บางวันใส่ชุดขาว เราก็อยากจะแต่งชุดอย่างนี้บ้าง แต่ปัญญาเราไม่มีเพราะพ่อไม่ได้ส่งเรียน
พี่ชายเป็นนักมวยชื่อ วิเชียรน้อย ศิษย์ณรงค์ ก็ถามว่าทำไมมึงไม่ไปเรียนหนังสือ พ่อก็บอกว่าไม่ได้ส่ง พี่ชายผมเก็บเสื้อผ้าแล้วพาเข้ากรุงเทพฯ เลย มาเจอเพื่อนพี่ชายที่เป็นนักมวยค่ายบางยี่ขัน เขาก็ให้ผมไปเรียนที่โรงเรียนบางยี่ขันสงเคราะห์ พอจบ มศ.3 ก็จะต้องแข่งขันเข้าโรงเรียนรัฐ ผมเลยไปสมัครโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ปรากฏสอบไม่ได้ ผมตั้งสติอยู่พักหนึ่ง คิดจะกลับไปทำนาแต่ปรากฏว่าตอนกลับไปเขามีโรงเรียนอยู่โรงเรียนหนึ่ง ชื่อสถาบันเทคโนโลยีการต่อเรือแห่งประเทศไทย มีที่เดียวอยู่ที่อยุธยา ผมก็เลยไปสอบติดที่นั่น ไปเป็นนักเรียนช่างกล เกเร ตีกับเขา ไปดักจีบผู้หญิงอยู่สถานีรถไฟ กินเหล้า สมัยก่อนเป็นตัวเปิดคนหนึ่งเหมือนกัน
เวลาอยู่กับเพื่อน ผมก็ทำตัวกลืนกับเพื่อน เกเร ทำอะไรทุกอย่าง แต่เวลาผมกลับบ้าน ผมอ่านหนังสือมากที่สุดเพื่อใช้วุฒิไปสอบเทียบ มศ.5 หรือ ม.8 เพราะผมจะเอาวุฒิอันนี้ไปสอบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่สอบไม่ติดอีก ผมตกตั้งแต่วันแรกเลยเพราะผมหูดำ เพราะตอนนั้นคนที่จะเป็นนักเรียนนายร้อยได้ ต้องไม่มี สิวฝ้า หน้าตาแผลเป็นเขาไม่เอาเลย สักยันต์ยังไม่ได้เลย แขนขอดนิ้วเบี้ยวยังไม่ผ่านเลย หูดำก็ไม่ได้เพราะเป็นตำหนิเด่นชัด
แต่ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน
ผมเลยแอบมาเรียนนิติศาสตร์ พอจบมาเทียบยศแล้วผมก็ไปอบรมเรียนนายร้อยสามพรานจนได้ ผมเอาจนได้เลยนะ เพราะผมมุ่งมั่นว่าเราจะเป็นนายคนต้องเป็นตำรวจให้ได้ ผมสอบได้ที่ 5 ของรุ่น ผมก็เลือกก่อนเพราะผมมีสิทธิ์เลือกตำรวจนครบาล ตอนที่ผมจะเลือกก็ไปปรึกษาผู้ใหญ่ว่าจะเลือกโรงพักไหนดี มีทั้งบุปผาราม วัดพระยาไกร บางเขน พหลโยธิน ประชาชื่น ทั้งหมด 12 โรงพักในกรุงเทพ
มีนายคนหนึ่งซึ่งผมนับถือมาก เขาบอกถ้ามึงจะรับราชการ เจริญก้าวหน้า มึงต้องอยู่ บก.น. เหนือ (กองบังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ) ฉายาก็คืองานเหนือ ถ้ามึงอยู่ฝั่งเหนือมึงจะได้ทำงานจะมีความรู้ จะเจริญก้าวหน้า ถ้ามึงอยากจะอยู่ใต้ บก.น. ใต้ มันมีสถานบริการ มีผลประโยชน์เยอะ ถ้าอยากจะได้เงินไปอยู่ใต้ แต่ถ้าจะขี้เกียจ อยากนอนตีพุง เป็นตำรวจปล่อยปละละเลย ไม่เอาเรื่อง ไปอยู่ธน เขาเรียกว่า งานเหนือ เงินใต้ สบายธน
ผมก็เลยเลือก บก.น. เหนือ ตอนนั้นโรงพักประชาชื่นเปิดใหม่ งานเยอะมาก ตำรวจก็เกเร ผมขอไปอยู่นี่เลยจะได้สร้างชื่อ เป็นพนักงานสอบสวน สมัยก่อนคนจบนักเรียนนายร้อยต้องเป็นพนักงานสอบสวนอย่างน้อย 2 ปี เพื่อจะมีความรู้ในการสอบสวน สืบสวน และจะรู้เรื่องกฎหมาย เพราะฉะนั้นชีวิตมันก็เปลี่ยนผันอีก ปรากฏว่าระหว่างที่เป็นพนักงานสอบสวน ท่านสมเกียรติ พ่วงทรัพย์ ไปตั้งศูนย์ปราบปรามตี๋ใหญ่อยู่ที่ประชาชื่น
แกก็เห็นหน่วยก้านผม แกบอกไอ้หนูมึงมานี่ มาช่วยกู แต่มึงมาทำการสอบสวนก่อน เวลามีคดีสำคัญแกจะให้ผมไปสอบสวนก่อน เพราะผมเก่งสอบสวน ครบ 4 ปีพอดีแกก็ย้ายผมมาอยู่โรงพักอันดับหนึ่งของประเทศ คือโรงพักพญาไท สมัยก่อนถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ผมอยู่ 5 ปี เป็นพนักงานสอบสวนจราจร เป็นพนักงานสอบสวนอาญา แล้วก็เป็นรองสารวัตรสืบสวนหัวหน้าสายสืบอีก 3 ปี เราก็เลยได้สร้างชื่อเสียงตรงนี้
อย่างเวลามีคดีอะไร เราก็ต้องไปดูไปรักษาสถานที่เกิดเหตุ ไปหาพยาน พยานมีอะไรบ้าง มีพยานบุคคล วัตถุ เอกสาร พยานแวดล้อม พยานเหล่านี้พนักงานสอบสวนจะต้องเป็นคนหามาแล้วมาทำการสอบสวนให้ได้ เพื่อเอาพยานหลักฐานนี้เอาคนร้ายไปฟ้องต่อศาลให้ติดคุกให้ได้
ตำรวจน้ำดี...การันตีด้วยรางวัลแห่งศักดิ์ศรี
ผมได้รางวัลสอบสวนดีเด่นจาก บก.น.ธน นะ ผมได้รางวัลสอบสวนดีเด่นของ บช.น. นะ ผมได้รางวัลสอบสวนดีเด่นของกรมตำรวจ ในตำแหน่งรองสารวัตรผมได้คนเดียว
จากพนักงานสอบสวน สู่มือวิสามัญเกือบ 100 ศพ
ผมวิสามัญไป 39 คน ผมจัดการหมด คดีไหนถ้าเขาแต่งตั้งผม สมมติคดีใหญ่เขาแต่งตั้งผมเป็นคณะทำงานในการสืบสวนสอบสวน คนร้ายมอบตัวก็แล้วกัน คำว่าวิสามัญมีคนเข้าใจผิด เหมือนตำรวจไปอุ้มเขามาฆ่ามายิง ไม่ใช่นะ คำว่าวิสามัญฆาตกรรมเป็นคดีพิเศษ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐไปยิงผู้ต้องหาตาย เขาเรียกคดีวิสามัญ มันก็เหมือนคนฆ่าคนตาย แต่ถ้าเป็นคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐไปฆ่าคนร้าย เขาเรียกวิสามัญ คนร้ายอาจอยู่ในควบคุมของเรา เราต่อสู้กัน เขาเรียกคดีวิสามัญฆาตกรรม ดังนั้นคนบอกว่าเราอุ้มเขาไปฆ่าหรือเปล่า มันไม่ใช่นะ เวลาผมวิสามัญฆาตกรรมใครหนึ่งศพ ผมจะต้องถูกตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ผมเป็นผู้ต้องหานะ จนกว่าผมจะไปขึ้นศาล อัยการเห็นว่าการที่ผมยิงคนร้ายนั้นกระทำโดยการป้องกันตัว สมควรแก่เหตุ ผมก็หลุดคดีไง ผมนี่ติดคุกไปครึ่งตัวแล้วนะ พิมพ์มือกันตลอดนะ แล้วคุณคิดดูสิผมวิสามัญมากี่คน บก.น. 8 ก็ 39 แล้ว พญาไทอีก 1 สืบสวนใต้ 20 กว่าคน สืบสวน5 อีก 20 กว่าคน
เกือบ 40 ปี ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ผมรับราชการตอนปี 2518 ลาออกตอนปี พ.ศ 2555 ก็ร่วมๆ 40 ปี แต่ถ้ารับราชการครบก็ 40 กว่าปี ผมมีปัญหากับการทำหน้าที่ของผมกับตำรวจ ทีนี้เวลาเขาไปร้อง ป.ป.ช. เขาก็ไม่ฟังเรา ผมก็สู้จนชนะ แต่เวลาก่อนจะชนะ เวลาเราปลดเกษียณไปแล้ว งั้นเราก็เข้ามารับราชการได้เหมือนเดิม เพราะกว่าจะสู้ชนะตั้ง 7 ปี แต่สมัยก่อนเราต้องยอมรับว่าบางเรื่อง ป.ป.ช. เขาไม่ค่อยฟังเหตุผล เขาตั้งธงว่าจะเอา มันมีการเมืองแทรกหลายเรื่องก็เลยอยู่ไม่ได้ เมื่อหน้าที่เป็นหน้าที่ผมก็ทำ ผมได้รับรางวัลมากมายรางวัลในการเจรจาดีเด่น รางวัลเคลื่อนที่เร็ว ผมได้รับรางวัลในการทำงานเยอะมาก เป็นนายตำรวจต้นแบบของกรมตำรวจ รางวัลสืบสวนสอบสวนชั้นแหวนอัศวิน ผมได้รับรางวัลมาแล้ว
ตำแหน่ง กับ ศักดิ์ศรี
ทุกคนรับราชการก็อยากจะได้ตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น มีหน้ามีตาขึ้น แต่รู้ไหมว่าทุกอย่างนี้มันมาแล้วก็จากไป แต่ศักดิ์ศรีสำคัญที่สุด ผมอยู่ได้ทุกวันนี้ขนาดปลดเกษียณแล้ว ทำไมคนรัก เคารพ ศรัทธาผม สื่อมวลชนยังเรียกหาผม เพราะผมมีศักดิ์ศรีไง แต่ยศเดี๋ยวก็หมดไป อดีตแล้วไง อดีตรองผู้บัญชาการ อดีตนั่นอดีตนี่มันก็หมดไปแล้ว อดีตที่ปรึกษา รมต. อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. แล้วเราไปใช้อะไรได้ไหม อย่างมากก็เวลาไปงานศพ งานแต่ง เขาก็พูดถึงอดีตทั้งนั้นแหละ เพราะมียศมีตำแหน่ง แต่จริงๆ เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะศักดิ์ศรีนะ
ต้องเลือกศักดิ์ศรี ตำแหน่งหน้าที่ พอหมดยุคหนึ่งมันก็จะหมดไป ก็เป็นแต่แค่อดีต แต่ศักดิ์ศรีมันจะติดตัวเราตลอดชีวิต ติดตัวไปกับครอบครัววงศ์ตระกูล ดังนั้นเราต้องยึดศักดิ์ศรี ฝากบอกตำรวจรุ่นน้องทุกคน ทำอะไรก็ได้ให้นึกถึงศักดิ์ศรีคำว่า "ตำรวจ"
Advertisement