จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. บางคอแหลม ได้รับแจ้งอุบัติเหตุ เรือชนกันกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงก่อนถึงสะพานกรุงเทพ ทิศทางจาก สน.บางคอแหลม มุ่งหน้าสะพานกรุงเทพ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยชุดปฎิบัติการกู้ภัยทางน้ำ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร กรมเจ้าท่า ร่วมตรวจสอบ เมื่อช่วงสายวันที่ 4 ธ.ค. 67
ที่เกิดเหตุเป็นช่วงก่อนถึงสะพานกรุงเทพมหานคร พบเรือที่เสียหาย 1 ลำ ชื่อ เจ้าพระยาปริ้นเชส 7 ด้านข้างตัวเรือ และด้านท้ายเสียหาย และอีก 1 ลำ ส่วนเรือลำที่จม 1 ลำ 40 ที่นั่ง ชื่อ เจ้าพระยาปริ้นเชส นอกจากนี้ยังมีเสียหายอีก 3 ลำ ชื่อเรือ รอเยลปริ้ส และไวลออคิต1 และ2 รวมทั้งหมด 6 ลำ
ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสสอบถาม นาย ธงชัย ประดิษฐ์ศิลป อายุ 61 ปี คนขับเรือจูง เล่าว่า ตนบรรทุกถ่านมุ่งหน้าพระนครศรีอยุธยา เจอกระแสน้ำเชี่ยวแรงและเชือกจูงเรือฝั่งซ้ายเกิดขาด 1 เส้น ซึ่งปกติจะมี 2 เส้น ทำให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ เสียหลักชนเรือที่ยอมรับจอดเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำ ตนเองยอมรับว่าดื่มสุราตอนจอดเรือ ตอนขับเรือไม่ได้กิน แต่ตำรวจตรวจแอลกอฮอล์แล้วไม่เกินปริมาณที่กำหนด เบื้องต้นตำรวจได้นำตัวมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่ สน.บางคอแหลม
ด้าน นางพิมพิมล ฐานธงชัยสกุล อายุ 61 ปี คนบนเรือสินค้า เล่าว่า จังหวะลากอยู่นั้น เชือกเรือขาด ทำให้เสียหลัก ตะแคงเข้าเรือพัดไปทางเรือที่เสียหาย ตอนนั้นตนเองอยู่ในครัว ได้ยินเสียตะโกนว่าเชือกเรือขาดกำลังชน โดยเรือลากมาจากเกาะสีชัง มุ่งหน้า อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ตนเองมองว่าเป็นอุบัติเหตุ ความรู้สึกก็ตกใจ ใจสั่น นี่คือครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ส่วนอีกคนที่อยู่บนเรือสินค้า บอกว่า เห็นเหตุการณ์ตอนเรือใกล้จะชนกับเรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำ แต่ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากน้ำเชี่ยว เชือกลากจูงก็ขาด ยืนยันไม่มีเหตุไฟไหม้ และก๊าซรั่วไหล
ขณะที่นายฐานพัฒน์ งามไพบูลย์ทรัพย์ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ตอนเวลาประมาณ 10.00 น. ได้ยินเสียงดังคล้ายเรือชนกันริมแม่น้ำ ตนจึงวิ่งออกมาดู เห็นเรือบรรทุกสินค้าชนกับเรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำประมาณ 5-6 ลำ มีบางลำ ลอยกระเด็นไปชนกับสะพานกลางแม่น้ำ และมีเรือ 1 ลำ ที่จมลงไปในน้ำทั้งลำ
เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บ เนื่องจากช่วงเวลาเช้ายังไม่มีพนักงานหรือคนมาใช้บริการเรือที่อยู่ริมแม่น้ำ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดตอนช่วงประมาณ 14.00-15.00 น. คงเป็นเรื่องใหญ่เพราะช่วงนั้นจะเริ่มมีพนักงานขึ้นไปดูแลบนเรือ และชาวบ้านคาดการณ์ว่า สาเหตุอาจมาจากช่วงเช้าน้ำค่อนข้างเชี่ยวแรง ทำให้เรือขนส่งสินค้าไม่สามารถบังคับทิศทางได้ จึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
Advertisement