จากกรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ตัดไฟ 5 จุด ประกอบด้วย จุด 1.จุดซื้อขายบริเวณบ้านพระเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองซู รัฐมอญ 2.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 3.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 4.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2-เมืองเมียวดี และ 5.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง-เมืองเมียวดีนั้น
ล่าสุดวันที่ 7 ก.พ. 68 เฟซบุ๊กเพจ Tachileik News Agency ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นในเมียนมา รายงานสถานการณ์ของ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา หลังไทยตัดไฟฟ้าแล้ว ระบุว่า ลาวได้ลดการจ่ายไฟฟ้าให้ท่าขี้เล็กเหลือ 13 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ต้องจัดลำดับความสำคัญในการแจกจ่ายใหม่
เนื่องจากการที่รัฐบาลไทยตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งให้เหตุผลว่า เป็นมาตรการเพื่อป้องกันเครือข่ายอาชญากรรมของแก๊งจีนที่แฝงตัวอยู่ตามแนวชายแดน ส่งผลให้เมืองท่าขี้เหล็กต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากลาวแทน โดยก่อนหน้านี้ได้ตกลงซื้อมากถึง 30 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 ก.พ. ทางฝั่งลาวได้แจ้งว่า จะลดปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายให้เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ โดยไม่ได้ให้เหตุผลที่ชัดเจน
คณะกรรมการไฟฟ้าเมืองท่าขี้เหล็กจึงต้องวางแผนกระจายไฟฟ้าที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยแบ่งเป็น 5 เมกะวัตต์ ให้กับคณะกรรมการไฟฟ้าหลัก และ 8 เมกะวัตต์ให้สำนักงานสาขา เพื่อนำไปจัดสรรให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ตามลำดับความสำคัญ
การจัดลำดับความสำคัญของผู้ใช้ไฟฟ้า ได้แก่ 1.กลุ่มที่ได้รับความสำคัญสูงสุด (Priority 1) ประกอบด้วย สถานศึกษา หน่วยงานด้านสังคม และสถานพยาบาล
หน่วยงานราชการอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น โรงน้ำดื่ม โรงน้ำแข็ง และระบบโทรคมนาคม ธนาคารและสถาบันการเงิน ไฟฟ้าจะถูกจ่ายให้กลุ่มนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ 2.กลุ่มที่ได้รับความสำคัญรองลงมา (Priority 2) ประกอบด้วยโรงแรม โรงแรม ม่านรูด เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร บาร์ คาราโอเกะ และสถานบันเทิง การจ่ายไฟให้กับกลุ่มนี้จะเป็นแบบหมุนเวียนตามช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าที่สามารถจ่ายได้
และ 3.ประชาชนทั่วไปในเขตที่อยู่อาศัย บ้านเรือนทั่วไปที่ใช้มิเตอร์ไฟฟ้ามาตรฐานยังคงได้รับไฟฟ้าตามปกติ ร้านอาหารขนาดใหญ่จะได้รับไฟฟ้าตามสถานการณ์ หากมีไฟฟ้าเพียงพอก็จะสามารถจ่ายให้ได้เต็มที่
ผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจในพื้นที่ ก่อนหน้านี้ เมืองท่าขี้เหล็กได้รับไฟฟ้าจากทั้งไทย (20 เมกะวัตต์) และลาว (30 เมกะวัตต์) รวม 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการจ่ายไฟให้แก่ 11 เขตในเมืองและ 7 กลุ่มหมู่บ้าน โดยมีผู้ใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 22,500 ครัวเรือน และโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้หม้อแปลงไฟฟ้ากว่า 600 ตัว แต่การที่ลาวลดการจ่ายไฟเหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนพลังงานอย่างรุนแรง
ตัวแทนจากคณะกรรมการไฟฟ้าเมืองท่าขี้เหล็ก เปิดเผยว่า “ทางลาวแจ้งว่า หากใช้ไฟฟ้าเกิน 13 เมกะวัตต์ จะตัดไฟทั้งหมดทันที ซึ่งขณะนี้เราได้รายงานเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานระดับรัฐและรัฐบาลกลางของเมียนมาแล้ว อย่างไรก็ตาม เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามีแรงกดดันจากฝ่ายใดที่ทำให้ลาวลดปริมาณไฟฟ้าที่ส่งมาให้ ทั้งที่มีข้อตกลงขายไฟให้เราถึง 30 เมกะวัตต์”
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนปี 2019 คณะกรรมการไฟฟ้าท่าขี้เหล็กเคยอยู่ภายใต้การบริหารของผู้ว่าราชการอำเภอ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาด้านความโปร่งใสและการดำเนินงานที่ล่าช้า แต่หลังจากปรับโครงสร้างให้เป็นการบริหารโดยภาคประชาชน ก็สามารถพัฒนาและบริหารจัดการไฟฟ้าได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาการตัดไฟจากทั้งไทยและลาวในครั้งนี้ส่งผลให้เมืองท่าขี้เหล็กต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการพลังงานอีกครั้ง
ปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงเมืองท่าขี้เหล็กเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมถึงเมืองต่าเหล่และเมืองเชียงลับในรัฐฉานตะวันออก ซึ่งต้องซื้อไฟฟ้าจากลาวเช่นกัน ทำให้เกิดความกังวลว่าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น อาจเกิดวิกฤตไฟฟ้าขาดแคลนในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงคืนวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมาพบว่า ในตัวเมืองท่าขี้เหล็กยังสว่างไสวไปด้วยแสงไฟตามปกติ
ส่วนกรณีไทยงดส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าประชาชนยังคงนำรถไปเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตามปั๊มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านพยายามกักตุนน้ำมันใส่ภาชนะเป็นถังต่างๆ โดยหลายปั๊มไม่ยอมเติมน้ำมันให้เต็มถัง โดยระบุว่าต้องกระจายให้รถคันอื่นๆ ด้วย ทำให้รถหลายคันต้องแวะเติมน้ำมันหลายปั๊มทำให้มีรถติดยาว
ขณะที่การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากแหล่งอื่นๆ เช่น จีน สปป.ลาว ฯลฯ ยังไม่มีความชัดเจน จึงส่งผลกระทบไปจนถึงพื้นที่รัฐฉานตะวันออกในจุดต่างๆ เช่น จ.เชียงตุง ฯลฯ โดยชาวบ้านต่างนำรถออกมาเติมน้ำมันตามปั๊มต่างๆ แต่พบว่าปั๊มให้เติมได้ครั้งละประมาณ 20,000-50,000 จั๊ตหรือครึ่งถังเท่านั้น ทำให้ยังคงมีรถหลายคันขับข้ามมาเติมน้ำมันในปั๊มฝั่งไทยเพื่อให้มีน้ำมันเต็มถังไว้ก่อน แม้จะไม่สามารถซื้อใส่ถังเล็กกลับไปได้ก็ตาม
ขอบคุณข้อมูล-ภาพ : เพจ Tachileik News Agency
Advertisement