สำนักงานสถิติแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่จัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่าง และอำนวยการให้มีการสำรวจด้านต่างๆ ของประเทศ ซึ่งสำมะโนประชากรและเคหะเป็นโครงการสำมะโนที่ใหญ่ที่สุด โดยเริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2503 และต่อมาในปี พ.ศ. 2513, 2523, 2533, 2543 และ 2553 ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา มีการจัดทำสำมะโนเคหะควบคู่กับสำมะโนประชากร สอดคล้องกับข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ให้มีการจัดทำสำมะโนทุก 10 ปี เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างประเทศได้
แต่ในปี พ.ศ. 2563 เกิดสถานการณ์โควิด 19 ทำให้โครงการสำมะโนประชากรและเคหะ ต้องเลื่อนออกไปตามมติของคณะกรรมการบริหารโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2563 จึงทำให้สำนักงานสถิติแห่งชาติต้องจัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่างในปี 2568 นี้ แทน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 นี้ ซึ่งนับครั้งแรกที่ทำการสำรวจในรูปแบบ "ดิจิทัล"
ความท้าทายของวิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมกับปัจจุบัน ?
การเก็บข้อมูลด้วยวิธีดั้งเดิม (Traditional Census) โดยการสัมภาษณ์ข้อมูลจากประชาชนโดยตรง (Face-to-Face Interview) ต้องใช้ทรัพยากรบุคคล เวลา และงบประมาณสูง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่น การโจรกรรมข้อมูล การขู่กรรโชก และการหลอกลงทุน ส่งผลให้ประชาชนวิตกกังวลและลดความร่วมมือในการให้ข้อมูล นอกจากนี้ ยังมีความไม่มั่นใจในระบบความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลจากภาครัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น หลายประเทศทั่วโลก เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ปากีสถาน และเกาหลีใต้ ได้ปรับเปลี่ยนไปใช้การสำมะโนแบบ "ดิจิทัล" (Digital Census) โดยให้ประชาชนตอบแบบสอบถามผ่านเว็บไซต์ ซึ่งเน้นการใช้งานง่าย และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงมีระบบติดตามเพื่อแจ้งเตือนหรือส่งเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับกรณีที่ประชาชนไม่สะดวกตอบแบบสอบถามออนไลน์ สำนักงานสถิติแห่งชาติจะส่ง "คุณมาดี" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติลงพื้นที่ และใช้แบบสอบถามกระดาษแล้วจัดเก็บบันทึกข้อมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายหลัง เพื่อให้การสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2568 สามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ทำไมต้องสำมะโนประชากร ?
แม้ว่าปัจจุบันจะมีข้อมูลจำนวนประชากรจากทะเบียนราษฎร แต่สำมะโนประชากรและเคหะ ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจาก
1. ข้อมูลจากทะเบียนราษฎรอาจไม่สะท้อนการกระจายตัวของประชากรที่แท้จริง
* ประชากรบางส่วนไม่ได้อยู่อาศัยในที่อยู่ที่ระบุไว้ในทะเบียนราษฎร เช่น นักเรียน คนทำงานที่ย้ายถิ่น หรือแรงงานข้ามจังหวัด
* สำมะโนช่วยให้เห็นภาพรวมที่แท้จริงของการกระจายตัวประชากร และสามารถใช้ในการวางแผนบริการสาธารณะในแต่ละพื้นที่
2. การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมต้องอาศัยข้อมูลประชากรที่ถูกต้อง ณ สถานที่อยู่อาศัยจริง
* ข้อมูลสำมะโนให้รายละเอียดเกี่ยวกับ โครงสร้างอายุ การศึกษา และที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะ
* ภาครัฐสามารถใช้ข้อมูลเพื่อ วางแผนจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่
3. มาตรฐานสากลแนะนำให้ทุกประเทศทำสำมะโนทุก 10 ปี
* องค์การสหประชาชาติ (UN) แนะนำให้ประเทศต่าง ๆ จัดทำสำมะโนประชากรและเคหะทุก 10 ปี โดยเฉพาะในปีที่ลงท้ายด้วย "0" เช่น ปี 2000, 2010, 2020
* เพื่อให้สามารถ เปรียบเทียบข้อมูลประชากรระหว่างประเทศ และใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเชิงนโยบายทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
สำมะโนประชากรและเคหะเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้รัฐบาลสามารถวางแผนพัฒนาประเทศได้อย่างแม่นยำ ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร และ สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคม ซึ่งทะเบียนราษฎรเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้ทั้งหมด
ข้อมูลทะเบียนราษฎร กับข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ ต่างกันอย่างไร ?
* ข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎร แสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน และทะเบียนบ้านกลาง ซึ่งประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอาจไม่ได้อาศัยอยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น
* ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะแสดงจำนวนประชากรไทยและไม่ใช่สัญชาติไทยที่มีชื่อและไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ซึ่งอาศัยตามที่อยู่จริง ณ ช่วงเวลานั้น
ตอบแบบสอบถามด้วยตัวเองเริ่ม 1 เม.ย. 68 คลิก : https://popcensus68.nso.go.th/
Advertisement