รับของโจร ถ้าไม่รู้ผิดหรือไม่ ยอมความได้ไหม ต้องส่งคืนเจ้าของหรือเปล่า
สินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า นาฬิกา หรือเครื่องประดับ ช่วยเสริมบุคลิก ยกระดับภาพลักษณ์ให้กับผู้เป็นเจ้าของ ทำให้หลายคนอยากมีไว้ในครอบครอง แต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้บางคนมองหาสินค้ามือแบรนด์เนมมือสองซึ่งมีราคาถูกกว่า หรือการซื้อต่อจากผู้อื่นที่นำมาปล่อยขาย โดยไม่รู้ว่าสินค้านั้นมีที่มาอย่างไร อาจเป็นสินค้าที่ได้มาจากการกระทำความผิดของเหล่ามิจฉาชีพก็ได้ ซึ่งอาจทำให้เราโดนข้อหา รับของโจร ไปแบบไม่รู้ตัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รับของโจร คืออะไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 รับของโจรคือ ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร
* ต้องมีการกระทําความผิดมูลฐาน (9 ฐานความผิด) สําเร็จก่อน จึงจะมีการกระทําความผิดฐานรับของโจรต่อไปได้
* ความผิดฐานรับของโจร “ต้องรู้ข้อเท็จจริง” ว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด
ความผิดฐานรับของโจร
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ความผิดฐานรับของโจรนั้นจะได้รับโทษหนักขึ้นถ้าหากได้นำทรัพย์ที่ได้จากการชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์นั้นไปทำการค้า ทำกำไร ต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน–10 ปี และปรับ 10,000 – 200,000 บาท
รับซื้อของที่ใช้สำหรับทำสาธารณประโยชน์ เช่น การขโมยฝาท่อระบายน้ำแล้วไปขายต่อ ซึ่งฝาท่อระบายน้ำนั้นตามสามัญสำนึกถือว่าเป็นของรัฐอยู่แล้ว บุคคลที่รับซื้อจะมีความผิดฐานรับซื้อของโจรต้องระวางโทษจำคุก 6เดือน–10 ปี และปรับ 10,000 – 200,000 บาท
รับซื้อทรัพย์ที่เป็นพระพุทธรูป วัตถุทางศาสนา สมบัติของชาติ โดยทรัพย์นั้นได้มาจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ บุคคลที่รับซื้อของโจรนั้น ต้องระวางโทษจำคุก 5-15 ปี และปรับ 100,000 - 300,000 บาท
รับของโจร ถ้าไม่รู้ผิดหรือไม่
การกระทำความผิดอาญาฐานรับของโจร ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยจะต้องมีเจตนาช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ และรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ด้วย คือ ลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก และเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ จึงจะครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59
ถ้าเป็นการรับไว้โดยไม่รู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาการกระทำความผิด 9 มูลฐานความผิดตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้า เป็นการรับไว้โดยขาดเจตนา แค่รับไว้ในการครอบครองเฉย ๆ ถูกกลั่นแกล้ง ถูกหลอกให้ดูแลของโจร แบบนี้ถือว่าขาดเจตนาในทางกฎหมายอาญาจะไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร
อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์ต่างๆ ร่วมด้วย เช่น ราคาทรัพย์สินที่รับซื้อมาต่ำผิดปกติหรือไม่ หรือมีรอยมีร่องรอยการโจรกรรม มีราคาถูกกว่าท้องตลาดมากทั้งๆ ที่เป็นสิ่งของมีราคาแพง มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของทรัพย์อย่างมีนัย ผู้ขายทรัพย์ซึ่งมีทะเบียนไม่มีเอกสารทางทะเบียนมาแสดง เป็นต้น เช่นนี้ ผู้ที่รับซื้อหรือรับทรัพย์นั้นมาย่อมจะต้องรู้ได้ว่าทรัพย์สินนั้นน่าจะเป็นของที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย
ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์สินที่รับมานั้นได้มาจากการกระทำความผิด ถ้าโจทก์ชี้ให้ศาลเห็นไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนา รู้เห็นว่าทรัพย์นั้นได้มาจากการกระทำความผิดจริง กรณีนี้จะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย เพราะยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยทำความผิดจริงหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง
รับของโจร ยอมความได้ไหม
ยอมความไม่ได้ เพราะว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357
แต่หากได้คืนทรัพย์นั้นแก่เจ้าของที่แท้จริงไปแล้ว หรือมีการชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้แก่เจ้าทุกข์หรือมีประวัติที่ดี ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมอาจเป็นเหตุขอให้ศาลพิจารณาการลดโทษได้ครับ ศาลอาจรอลงโทษการจำคุกและคุมประพฤติแทนได้
รับของโจร ต้องส่งคืนเจ้าของหรือเปล่า
กรณีรับซื้อของโจรไว้โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นของที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย อาจจะไม่ถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฉ้อโกง หรือไม่มีความผิดในส่วนอาญา แต่ไม่ได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี เพราะกฎหมายจะคุ้มครองให้ไม่ต้องคืนทรัพย์สินให้กับผู้เสียหาย เฉพาะในกรณีที่ซื้อสินค้าประเภทนั้นจากท้องตลาด ที่ขายสินค้าประเภทนั้น หรือซื้อจากบุคคลที่มีอาชีพขายสินค้าประเภทนั้นอยู่แล้วเท่านั้น
ถ้าหากเรารับซื้อจากคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีอาชีพขายสินค้าประเภทนั้น หรือซื้อจากตลาดที่ไม่ได้ขายสินค้าประเภทนั้นโดยเฉพาะ ในทางแพ่งแล้วเราก็ยังมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินให้กับผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริง
นอกจากนี้ หากผู้เสียหายให้ตำรวจยึดเอาทรัพย์สินนั้นไปเลย หรือยึดทรัพย์เป็นของกลาง ก็ต้องให้ความร่วมมือเพราะตำรวจมีอำนาจตามกฎหมาย
แต่ถ้าหากมั่นใจว่าซื้อมาโดยสุจริต และมีโอกาสได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ ก็มีสิทธิ์ไปยื่นคำร้องขอคืนของกลางหรือยื่นฟ้องเพื่อเรียกทรัพย์สินดังกล่าวจากเจ้าของทรัพย์สินได้ โดยอาศัยติดตามมาตรา 1332
Advertisement
