JD CENTRAL ประกาศยุติการให้บริการในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยปีที่ผ่านมามีกระแสข่าวออกมาต่อเนื่องว่า ต้องประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องและเตรียมทิ้งตลาดในประเทศไทยและอินโดนีเซีย
โดยหน้าเว็บไซต์ของ JD Central มีการระบุข้อความรายละเอียดในการยุติการให้บริการในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 66 ดังนี้
ขอเรียนแจ้งให้ท่านทราบว่า แพลตฟอร์ม JD CENTRAL จะหยุดให้บริการโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยมีรายละเอียดดังนี้
การสั่งซื้อสินค้า: ร้านค้าอย่างเป็นทางการของ JD CENTRAL Official Store จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566
ตลาดกลาง: แพลตฟอร์ม JD CENTRAL (ร้านค้าอื่น ๆ) จะปิดการสั่งซื้อสินค้าเวลา 23.59 น. วันที่ 3 มีนาคม 2566
การจัดส่งสินค้า: JD CENTRAL จะจัดการคำสั่งซื้อสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์ ก่อนและภายในวันที่ 3 มีนาคม 2566 โดยเวลาการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับการดำเนินการของบริษัทขนส่งภายนอกและผู้ขาย
การบริการหลังการขาย: ศูนย์บริการหลังการขาย (Customer Services) ของเรา จะยังคงดำเนินการให้บริการหลังการขายสำหรับคำสั่งซื้อที่เสร็จสมบูรณ์ โดยจะเปิดให้บริการถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น.
คูปองส่วนลด: คะแนนสะสม JD (JD POINTS) และคูปองส่วนลดจะสามารถใช้ได้จนถึงเวลา 23.59 น. วันที่ 3 มีนาคม 2566
สำหรับ JD Central ในประเทศไทยเป็นการร่วมทุนระหว่าง JD.com จากจีนและ Central Group บริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในไทย ภายใต้ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนคือ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ตั้งแต่ปลายปี 2560 ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 17,500 ล้านบาท ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ ขาดทุนอย่างต่อ
สำหรับการทิ้งตลาดในไทยครั้งนี้ ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ South China Mornig Post เคยรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า บริษัท JD.com อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในจีน กำลังพิจารณาจะถอนธุรกิจออกจากตลาดหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะใน "ไทย" และ "อินโดนีเซีย" เนื่องจากเจอปัญหาเรื่องยอดขายมานานหลายปี โดยบริษัทจะขอมุ่งไปโฟกัสเฉพาะตลาดในบ้านเกิดอย่างจีนแทน
สื่อในจีนรายงานก่อนหน้านี้ว่าการขยายธุรกิจของ JD.com ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้บริษัทขาดทุนไปแล้วมากกว่า 10,000 ล้านหยวน หรือเกือบ 5 หมื่นล้านบาทแล้ว
สำหรับธุรกิจใน "ประเทศไทย" South China Mornig Post เคยรายงาน ว่าขาดทุนนับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวในปี 2017 โดยมียอดขาดทุนระหว่างปี 2017-2021 แล้วถึง 1,000 ล้านหยวนหรือเกือบ 5,000 ล้านบาท และ JD.com ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงกลับประเทศจีนไปแล้วหลายราย
JD Central ประสบปัญหาทั้งเรื่องยอดขาย และข้อมูลทราฟฟิกก็ยังเป็นรองเมื่อเทียบกับ Central Online แพลตฟอร์มช้อปปิ้งของกลุ่มเซ็นทรัลเอง แถมยิ่งถูกทิ้งห่างเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ 2 เจ้าตลาดอย่าง Shopee จากสิงคโปร์ และ Lazada จากจีน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Alibaba Group แตหลังจากนี้เซ็นทรัลจะดำเนินการต่อไปอย่างไร คงต้องติดตามตวามเคลื่อนไหวกันต่อ