ธุรกิจสื่อล้วนปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัลและมองหาโอกาสใหม่ในการทำรายได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ของบริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ทีไ่ด้จัดขึ้นเมื่อ 27 เม.ย.2566 มีมติเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ตัวย่อในตลาดหลักทรัพย์ฯยังคงเดิมคือ AMARIN เพื่อรองรับการปรับตัวของธุรกิจที่ไม่ได้มีขอบเขตเพียงแค่ธุรกิจพริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง อีกต่อไป
คุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจุบันธุรกิจของกลุ่มอมรินทร์ มีความหลากหลาย โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก คือ On Print , On Line , On Shop , On Air และ On Ground ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจของอมรินทร์มีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสทางธุรกิจทั้งการต่อยอดจากธุรกิจที่มีอยู่และโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเตรียมเม็ดเงินในการลงทุนไว้พร้อมตั้งแต่ปี 2023 ถึงปี 2025
สำหรับผลประกอบการของ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยในปี 2565 มีรายได้รวม 4,274.45 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 1,313.84 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 44.4 % ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจาก
ต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในปี 2565 บริษัทฯ มีต้นทุนขายและบริการ เท่ากับ 2,847.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564 จำนวน 1,117.07 ล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 64.6 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางการเติบโตของรายได้ โดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญก็คือ ต้นทุนการจัดงานแสดงสินค้าเป็นไปตามจำนวนงานที่มีการจัดเพิ่มขึ้น ซึ่งมีอัตราการเติบโตของต้นทุนนี้ถึงร้อยละ 95.8 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังสามารถบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมในปี 2565 เท่ากับ 957.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 36.16 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเพียง ร้อยละ 3.9ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่น้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของรายได้
จากอัตราการเติบโตของรายได้ ในขณะที่บริษัทสามารถบริหารค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯมีอัตราการขยายตัวของกำไรสุทธิที่สูงขึ้น โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ สูงถึง 474.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เท่ากับ 161.26 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงถึงร้อยละ 51.5
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.29 บาท รวมเป็นเงิน 289,501,661 บาทเมื่อคำนวณการจ่ายเงินปันผลตามอัตราข้างต้นแล้ว จะคิดเป็นร้อยละ 61.03 ของกำไรสุทธิประจำปีของงบการเงินรวม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลตามงบการเงินรวม โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2566