หญิงสาวรายหนึ่งผู้ใช้บัญชี TikTok @danimarielettering ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์รถยนต์ของเธอที่ถูกไฟไหม้จนมีสภาพยับเยินไปทั้งคัน โดยเฉพาะด้านในที่วัสดุติดไฟถูกเผาเสียหายหมด ยกเว้นเพียงอย่างเดียวที่ยังตั้งอยู่อย่างโดดเด่นนั่นคือ แก้วน้ำเก็บความเย็นของ Stanley ที่ปรากฏว่ายังคงอยู่ที่เดิมในสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ดี ไม่ยุบสลายหรือเป็นอะไรเลย แถมน้ำแข็งด้านในแก้วก็ยังอยู่ทั้งที่รถไฟไหม้ไปแล้ว
คลิปนี้ไวรัลไปทั่วโลก มีคนมาแสดงความคิดเห็นมากมายจน CEO ของแบรนด์ Stanley โพสคลิป ยินดีที่เจ้าของรถที่ไฟไหม้ดังกล่าวปลอดภัย และบอกด้วยว่า จะเปลี่ยนรถคันใหม่ให้อีกด้วย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทำให้เห็นถึงคุณภาพของแบรนด์ Stanley ว่าสร้างมาเพื่อทุกคนอย่างไร
SPOTLIGHT จึงอยากพาทุกคนมารู้จักกับ แบรนด์ Stanley (สแตนลีย์) แบรนด์แก้วน้ำที่มีอายุยาวนานกว่า 110 ปี และนวัตกรรมสุดล้ำที่นำมาใช้กับแก้วเก็บอุณหภูมิ
แบรนด์ Stanley มีจุดกำเนิดมาจาก วิลเลียม สแตนลีย์ จูเนียร์ (William Stanley Jr.) เค้าเป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ และอุปกรณ์ไฟฟ้ามากกว่า 100 รายการ วิลเลียม สแตนลีย์ จูเนียร์ เสียชีวิตลงตั้งแต่ปี 1916 ปัจจุบัน แบรนด์ Stanley อยู่ภายใต้ บริษัท Pacific Market International, LLC
ย้อนไปเมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมาในวันที่เรายังไม่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่ให้ความสะดวกหรือนวัตกรรมที่ให้ความอบอุ่นสบาย การจิบกาแฟร้อนๆในวันที่อากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูหนาวนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็น เนื่องจากอากาศที่เย็นยะเยือก ส่งผลให้แก้วน้ำธรรมดาไม่สามารถกักเก็บความร้อนได้นาน จนกาแฟต้องเย็นชืดและไร้รสความอร่อยไปในที่สุด
นี่เป็นปัญหาที่คุณสแตนลีย์ นักดื่มกาแฟตัวยง ต้องเจออยู่บ่อยๆ ทำให้เขาเริ่มนำองค์ความรู้นักประดิษฐ์ มาต่อยอดสร้าง ‘ขวดน้ำสุญญากาศ’ ในปี 1913 โดยความพิเศษของขวดน้ำสุญอากาศนี้ คือทำจากการหุ้มด้วยเหล็กภายนอกทั้งหมด จนสามารถเก็บความร้อน และรักษาอุณหภูมิภายในขวดเอาไว้ได้แม้อากาศข้างนอกจะหนาวเย็นแค่ไหน และยังมีความแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ ที่แม้ว่าผู้ใช้งานจะทำตก ก็ไม่พบเจอปัญหาเรื่องขวดแตก
การประดิษฐ์‘ขวดน้ำสุญญากาศ’ ในครั้งนั้น นับว่าเป็นการก่อกำเนิด แบรนด์ Stanley ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการคอกาแฟ และคุณสแตนลีย์ ได้ทำการจดสิทธิบัตรผลงานดังกล่าวเรียบร้อย และคุณสมบัติสุดล้ำของขวดน้ำสุญอากาศ ไม่ใด้ถูกใจแค่คอกาแฟเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้ในเหล่าทหารและนักบินในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนออกรบอีกด้วย
การที่แบรนด์ Stanley มีอายุยาวนานกว่าศตวรรษจนเป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าทางแบรนด์ย่อมมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และดีไซน์ให้เข้ากับยุคสมัย
ภายหลังจากที่ ‘ขวดน้ำสุญญากาศ’ ได้ถูกวางขายในท้องตลาด กลับมีเสียงลูกค้าตีกลับมาว่า พวกเขาจะได้กลิ่นเหล็ก และโลหะปนมาด้วยทุกครั้งเวลาที่ดื่มน้ำ นอกจากนี้ผู้บริโภค ยังคอมเม้นท์ถึงความหนักของขวดน้ำสุญญากาศ ไม่สะดวกสบายเวลาพกพา ปัญหานี้ทำให้ทางแบรนด์คิดค้นแก้วน้ำแบบใหม่ที่ทำจากเซรามิก และใน ปี 2009 แบรนด์ Stanley ได้มีการคิดค้นปรับสินค้ารุ่นเดิม แต่ทำให้มีน้ำหนักเบาขึ้น
ต่อมาในปี 2017 แบรนด์ Stanley ได้ออกสินค้ารุ่นใหม่ Master Series คราวนี้กล้าบอกว่าสามารถเก็บรักษาอุณหภูมิได้หลายวัน
ราคา : 750 – 1,550 บาท
ความจุ : มีให้เลือกตั้งแต่ 16 OZ – 44 OZ
วัสดุ : ทำมาจากแสตนเลสสตีล
ระยะเวลาการเก็บอุณหภูมิ : เก็บความเย็น 6 – 30 ชั่วโมง เก็บความร้อน 5 – 12 ชั่วโมง
คุณสมบัติ : เก็บรักษาความร้อนและความเย็นได้อย่างดีเยี่ยม
โดยหากใส่น้ำแข็งสามารถกักเก็บอุณหภูมิได้นานถึง 30 ชั่วโมง มาพร้อมกับหลอดดื่ม ฝาปิดแน่นหนาเลื่อนเปิด – ปิดได้ ดื่มได้ทั้งจากหลอดดื่มหรือดื่มจากแก้ว
จุดเด่น : เก็บน้ำแข็งได้นานสูงสูด 30 ชั่วโมง
: มาพร้อมกับหลอดดื่ม
: ใช้งานได้ทั้งจากหลอดดื่มหรือดื่มจากแก้ว
นอกจากนี้ยังมีรุ่น Stanley Titanium series ที่ทํามาจากวัสดุไทเทเนี่ยม ที่มีความเเข็งเเรง ทนทาน เเละรับการกระเเทกเป็นพิเศษ เเละมีความเบากว่าทุกรุ่น
ราคา : 5,250 บาท
ความจุ : Stanley Titanium Travel Mug 14OZ
วัสดุ : ไทเทเนี่ยม
ระยะเวลาการเก็บอุณหภูมิ : เก็บความร้อน 4ชม, ความเย็น 4ชม, น้ำแข็ง 16ชม
ระยะเวลาการรับกระกันสินค้า : Stanley มีการรับประกันตลอดอายุการใช้งานของสินค้า เเต่ต้องพิสูจน์ว่าผู้ใช้ใช้งานตามคําเเนะนําการใช้งานจาก Stanley (การรับประกันนี้ มีผลเเค่กับผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจาก Offical Stanlet หรือ ผู้ขายที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น)
ปัจจุบัน แบรนด์Stanley ถือได้ว่าเป็นผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์ท่องเที่ยว Outdoor หรือ แคมป์ปิ้ง เพราะนอกจากการผลิดขวน้ำเก็บความร้อน-เย็นแล้ว ยังมีสินค้าอื่นๆที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนมากมาย เช่น กล่องอาหาร, อุปกรณ์ทำอาหารที่คงทนแข็งแรง, ถังเก็บน้ำแข็ง, แก้วเบียร์, อุปกรณ์สำหรับดริปกาแฟ ซึ่งสินค้าของแบรนด์ทุกชิ้นยังมีความปลอดภัยสูงไม่มีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็ง (BPA-FREE)
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำคัญที่แบรนด์ Stanley ให้ความสำคัญ นั้นก็คือ ความยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น จากขวดแก้วและขวดพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้ง เปลี่ยนมาเป็นขวดน้ำประเภท RE-USE มากขึ้น
ที่มา : Stanley