ใครจะไปคิดว่า "เฟรนช์ฟรายส์" เมนูสุดคลาสสิกที่ใครๆ ก็หลงรัก จะกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในแวดวงธุรกิจอาหาร เมื่อยอดขายเฟรนช์ฟรายส์ของ McDonald's เจ้าพ่อฟาสต์ฟู้ด เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว สร้างแรงกระเพื่อมไปถึง Lamb Weston ผู้ผลิตเฟรนช์ฟรายส์แช่แข็งรายใหญ่ จนต้องตัดสินใจปิดโรงงาน และปรับลดพนักงาน สถานการณ์นี้เกิดขึ้นจริงหรือ? อนาคตของเฟรนช์ฟรายส์จะเป็นอย่างไร? ธุรกิจร้านอาหารจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างไร?
สถานการณ์ความต้องการเฟรนช์ฟรายส์ในตลาดโลกส่งสัญญาณชะลอตัว แม้ผู้บริโภคยังคงนิยมบริโภคอยู่ แต่แนวโน้มปริมาณการสั่งซื้อกลับลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตเฟรนช์ฟรายส์แช่แข็งรายใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักให้กับ McDonald's จนนำไปสู่การตัดสินใจปิดโรงงานและปรับลดพนักงาน
Lamb Weston บริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำในเมือง Eagle รัฐ Idaho ซึ่งมี McDonald's เป็นลูกค้าหลัก คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 14% ได้ประกาศปิดโรงงานแห่งหนึ่งใน Connell รัฐ Washington พร้อมกับปรับลดพนักงานทั่วโลกประมาณ 4% และยกเลิกตำแหน่งงานที่ยังว่าง โดย นาย Tom Werner ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า "ยอดจำหน่ายเฟรนช์ฟรายส์แช่แข็งอยู่ในภาวะซบเซา และคาดการณ์ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2568"
รายงานวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ระบุว่า จำนวนลูกค้าร้านฟาสต์ฟู้ดประเภทเบอร์เกอร์ในสหรัฐอเมริกาลดลงประมาณ 3% ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 25 สิงหาคม) ซึ่งถือว่าปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่ลดลงกว่า 4% ขณะที่ภาพรวมจำนวนลูกค้าร้านฟาสต์ฟู้ดในสหรัฐอเมริกาลดลง 2% ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีขึ้นจากช่วง 3 เดือนก่อนหน้าที่ลดลง 3%
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับเข้าร้านอาหารในช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม คือ "กิจกรรมส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้น" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง McDonald's ที่ออกโปรโมชั่นชุดอาหารราคา $5 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา
แม้จำนวนลูกค้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อยอดขายเฟรนช์ฟรายส์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดย นาย Werner กล่าวต่อในระหว่างการประชุมสรุปผลประกอบการว่า "ประเด็นสำคัญคือ โปรโมชั่นชุดอาหารราคาประหยัด กระตุ้นให้ลูกค้าจำนวนมากเลือกสั่งเฟรนช์ฟรายส์ขนาดเล็กแทนขนาดกลาง"
ชุดอาหารราคา $5 ของ McDonald's ซึ่งประกอบด้วยเฟรนช์ฟรายส์ขนาดเล็ก, เบอร์เกอร์ McDouble หรือ McChicken, ไก่ McNuggets 4 ชิ้น และน้ำอัดลมขนาดเล็ก เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างชัดเจน "แม้บริษัทจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น แต่การที่ลูกค้าเลือกสั่งขนาดเล็กลง ย่อมส่งผลกระทบต่อปริมาณยอดขายโดยรวม" นาย Werner กล่าวเสริม
นอกจากนี้ Lamb Weston ซึ่งแยกตัวออกมาจาก Conagra ในปี 2559 ยังได้ดำเนินมาตรการ "ปรับลดกำลังการผลิตและตารางการผลิตชั่วคราว" ในโรงงานบางแห่งในอเมริกาเหนือ ควบคู่ไปกับการเร่งระบาย "สินค้าคงคลังสำเร็จรูปที่มีอยู่ในระดับสูง" เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
มีสัญญาณบ่งชี้ว่ายอดขายเฟรนช์ฟรายส์ของ McDonald's อาจลดลง โดยผลประกอบการของ McDonald's ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณอันน่าจับตาในอุตสาหกรรมอาหารจานด่วน โดยยอดขายในสหรัฐอเมริกาลดลง 0.7% และยอดขายทั่วโลกลดลง 1% นับเป็นการลดลงครั้งแรกของยอดขายทั่วโลกนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ซึ่งสอดคล้องกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญภาวะถดถอยจากผลพวงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
Lamb Weston ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเฟรนช์ฟรายส์แช่แข็งรายใหญ่ และเป็นคู่ค้าหลักของ McDonald's รายงานยอดขายสุทธิประจำไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 25 สิงหาคม 2567 ที่ 1.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายรวมตลอดปีงบประมาณ 2568 จะเติบโตขึ้นอยู่ที่ 6.6 - 6.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่ายอดขายในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งอยู่ที่ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Teresa Paulsen โฆษกของ Lamb Weston ชี้แจงว่า "Lamb Weston ยังคงเชื่อมั่นในความนิยมเฟรนช์ฟรายส์ในระดับโลก การปิดโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงงานเดิม มีผลกระทบต่อกำลังการผลิตโดยรวมไม่ถึง 5% การปรับกลยุทธ์การผลิตในครั้งนี้ จึงถือเป็นการบริหารจัดการเพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในระยะสั้น"
อนึ่ง McDonald's ถือเป็นลูกค้าหลักของ Lamb Weston ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากมันฝรั่งหลากหลายประเภท อาทิ เฟรนช์ฟรายส์ มันฝรั่งหวานทอด และท็อตส์ โดยสัดส่วนยอดขายจาก McDonald's คิดเป็น 14% ของยอดขายสุทธิของ Lamb Weston ในปีงบประมาณ 2567 และ 13% ในปี 2566 ตามรายงานประจำปีที่ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สหรัฐอเมริกา
McDonald's มีแผนที่จะคงโปรโมชั่นชุดอาหารราคาประหยัดไว้ในเมนูจนถึงเดือนธันวาคม ซึ่งอาจส่งผลให้เฟรนช์ฟรายส์ขนาดเล็กยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี 2567 อย่างไรก็ตาม นาย Werner คาดการณ์ว่า สถานการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว "ความต้องการเฟรนช์ฟรายส์ของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง ประกอบกับเฟรนช์ฟรายส์เป็นเมนูหลักที่สำคัญ เราจึงมั่นใจว่าตลาดเฟรนช์ฟรายส์ทั่วโลกจะกลับมาเติบโตในอัตราปกติ เมื่อจำนวนลูกค้าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น"
Placer.ai บริษัทวิเคราะห์ข้อมูล เปิดเผยว่า จำนวนลูกค้าของ McDonald's และ Wendy's ยังคงทรงตัว โดยประเมินจากการติดตามอุปกรณ์นับล้านเครื่อง และใช้เทคโนโลยี Machine Learning พบว่าจำนวนลูกค้าของร้านอาหารทั้งสองเครือ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 "ใกล้เคียงกับระดับของปี 2566"
นอกจากนี้ เมนูพิเศษ "เฉพาะช่วงเวลา" ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดย Wendy's มียอดลูกค้าเพิ่มขึ้น 26.4% ในวันที่ 8 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเปิดตัวเมนู Krabby Patty Kollab เมื่อเทียบกับวันอังคารปกติ เช่นเดียวกับ McDonald's ที่มียอดลูกค้าเพิ่มขึ้น 7.9% ในวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันแรกที่วางจำหน่าย Chicken Big Mac
Kristoffer Inton นักวิเคราะห์จาก Morningstar ระบุในรายงานวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ว่า "แนวโน้มความต้องการเฟรนช์ฟรายส์ในระยะยาว ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เฟรนช์ฟรายส์ยังคงเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยม และสร้างผลกำไรสูงสุดให้กับร้านอาหาร การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของร้านอาหารบริการด่วน (QSR) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย และเพิ่มศักยภาพการบริโภค ในอีกหลายปีข้างหน้า"
แม้ยอดจำหน่ายเฟรนช์ฟรายส์ของ McDonald's จะแสดงแนวโน้มการชะลอตัวลง จนส่งผลให้ Lamb Weston ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฟรนช์ฟรายส์แช่แข็งรายใหญ่ของโลก ต้องดำเนินมาตรการปรับลดกำลังการผลิตและปิดโรงงานบางส่วน ทว่าจากการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวม พบว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวอาจเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวต่ออุตสาหกรรมเฟรนช์ฟรายส์เท่านั้น
ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ให้เห็นถึงปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดเฟรนช์ฟรายส์ในระยะยาว ดังนี้
Lamb Weston ยังคงแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของธุรกิจ และคาดการณ์ว่าตลาดเฟรนช์ฟรายส์ทั่วโลกจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเติบโตในอัตราปกติได้ เมื่อเศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคมีเสถียรภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟรนช์ฟรายส์ จำเป็นต้องเตรียมความพร้อม และปรับตัวให้เท่าทันต่อพลวัตของตลาด เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รูปแบบ รสชาติ และขนาด ให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความนิยมที่ยังคงมีอยู่ เชื่อว่าเฟรนช์ฟรายส์จะยังคงเป็นเมนูหลัก ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของผู้คนทั่วโลกต่อไป
ที่มา freep