รายงานล่าสุดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง แตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานอาจกำลังฟื้นตัว หลังจากเผชิญกับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงานในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัว? อัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ล่าสุด จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ได้ประกาศ จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนในสัปดาห์ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า การเติบโตของงานน่าจะฟื้นตัวในเดือนพฤศจิกายน หลังจากชะลอตัวลงอย่างกะทันหันในเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงาน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้ที่ถูกเลิกจ้างจะใช้เวลานานขึ้นในการหางานใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในรายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับที่เคยเห็นในช่วงปลายปี 2564
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ลดลงสู่เป้าหมายที่ 2% แต่ภาวะการจ้างงานที่ยังคงซบเซา อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามในเดือนธ.ค.นี้
กิเซลา ฮอกชา นักเศรษฐศาสตร์จากซิตี้กรุ๊ป เผยว่า "ในสภาพแวดล้อมการจ้างงานที่ต่ำ ผู้ที่ถูกเลิกจ้างจะหางานใหม่ได้ยากขึ้น และต้องพึ่งพาสวัสดิการว่างงานเป็นเวลานานขึ้น ซึ่งหมายความว่าอัตราการว่างงานอาจเพิ่มสูงขึ้นได้"
สหรัฐฯ จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลง สวนทางคาดการณ์
ตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน สะท้อนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ท่ามกลางพายุและการประท้วง ข้อมูลล่าสุด จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 213,000 ราย ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา สวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 220,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวอาจมีความผันผวนบางส่วน เนื่องจากตรงกับวันหยุด Veterans Day โดยจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานที่ไม่ได้ปรับตามฤดูกาลลดลง 17,750 ราย สู่ระดับ 213,035 ราย
โดยในรัฐแคลิฟอร์เนีย จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง 4,657 ราย เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 5,906 ราย และยังมีรายงานจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงอย่างเห็นได้ชัดในรัฐนิวเจอร์ซีย์ โอไฮโอ จอร์เจีย เท็กซัส และอินเดียนา
ก่อนหน้านี้ จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานในรัฐนิวเจอร์ซีย์และเท็กซัสเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมบริการด้านการศึกษา รวมถึง ภาคการดูแลสุขภาพและความช่วยเหลือทางสังคม
แม้ว่าจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวมจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงต้นเดือนตุลาคม เนื่องจากผลกระทบจากพายุเฮอริเคนเฮเลนและมิลตัน รวมถึงการประท้วงของคนงานในโรงงานของโบอิ้งและบริษัทอวกาศอื่นๆ แต่โดยรวมแล้ว อัตราการเลิกจ้างยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อตลาดแรงงานจากการจ้างงานที่ซบเซา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นรับข่าวดีจากตลาดแรงงาน
ข้อมูลการยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกครอบคลุมช่วงเวลาที่รัฐบาลสำรวจธุรกิจต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมประจำเดือนพฤศจิกายน โดยพบว่าจำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง 29,000 ราย ระหว่างสัปดาห์สำรวจข้อมูลการจ้างงานของเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ข่าวดังกล่าวส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนีหุ้นหลักๆ ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินสกุลหลัก ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การจ้างงานมีแนวโน้มสดใสขึ้นหลังพายุสงบและการประท้วงยุติ ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยส่งสัญญาณฟื้นตัว
ข้อมูลจากรัฐบาลเมื่อวันอังคารยืนยันว่า พายุเฮอริเคนเฮเลนและมิลตัน รวมถึง การประท้วงหยุดงานในอุตสาหกรรมอวกาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเติบโตของการจ้างงานในเดือนตุลาคมชะลอตัวลงอย่างมาก รายงานการจ้างงานและการว่างงานของรัฐยังแสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าการประท้วงและพายุอาจทำให้ตำแหน่งงานหายไปราว 100,000 ถึง 125,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 หลังจากเพิ่มขึ้น 223,000 ตำแหน่งในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม การประท้วงของโบอิ้งสิ้นสุดลงในต้นเดือนนี้หลังจากที่คนงานยอมรับสัญญาฉบับใหม่ ขณะที่การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งคาดว่าจะสร้างงานอย่างน้อย 100,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน
ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์หน้าจะช่วยให้เห็นภาพรวมของตลาดแรงงานในเดือนพฤศจิกายนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รายงานระบุว่า จำนวนผู้ที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานหลังจากสัปดาห์แรก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการจ้างงาน เพิ่มขึ้น 36,000 ราย สู่ระดับ 1.908 ล้านรายในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 พฤศจิกายน
คอนราด เดควาดรอส ที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสของ Brean Capital กล่าวว่า "จำนวนผู้ที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าการจ้างงานใหม่ชะลอตัวลง แต่ก็อาจเป็นผลมาจากปัจจัยการปรับตามฤดูกาลที่ไม่เพียงพอ"
รายงานการจ้างงานสำหรับเดือนพฤศจิกายนอาจเป็นตัวกำหนดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคมหรือไม่ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในช่วงต้นเดือนนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 4.50%-4.75% เฟดเริ่มต้นวงจรการผ่อนคลายนโยบายด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการกู้ยืมครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563 หลังจากที่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5.25% ในปี 2565 และ 2566 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ในส่วนของตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการคุมเข้มนโยบายการเงิน สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติรายงานว่า ยอดขายบ้านเพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนตุลาคม สู่ระดับ 3.96 ล้านยูนิต หลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปีในเดือนกันยายน โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ยอดขายบ้านจะฟื้นตัวสู่ระดับ 3.93 ล้านยูนิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัย
ยอดขายบ้านสหรัฐฯ ฟื้นตัว แต่ราคาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ยอดขายบ้านในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นับเป็นการเติบโตครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 โดยยอดขายบ้านในเดือนตุลาคม สะท้อนถึงสัญญาที่ลงนามในเดือนสิงหาคมและกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวลดลง เนื่องจากคาดการณ์ว่าเฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน
อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้กลับพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง นักลงทุนยังกังวลว่านโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี เช่น การขึ้นภาษีสินค้าเข้าและการเนรเทศผู้อพยพ อาจทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงขึ้น
จำนวนบ้านคงเหลือในตลาดอยู่ที่ 1.37 ล้านยูนิตในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 19.1% จากปีที่แล้ว แม้ว่าอุปทานจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาบ้านเฉลี่ยก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้น 4.0% จากปีก่อนหน้า สู่ระดับ 407,200 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนตุลาคม
ด้วยอัตราการขายในเดือนตุลาคมจะใช้เวลา 4.2 เดือนในการขายบ้านคงเหลือทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 3.6 เดือนในปีที่แล้ว โดยทั่วไปแล้ว อุปทานบ้าน 4-7 เดือน ถือว่าเป็นระดับที่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
"การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน บ่งชี้ว่า ยอดขายบ้านน่าจะยังคงซบเซาต่อไปจนถึงสิ้นปี แม้ว่าจะมีบ้านในตลาดเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่" เบน เอเยอร์ส นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Nationwide กล่าว
ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัว แต่ความท้าทายยังรออยู่ข้างหน้า
แม้ข้อมูลล่าสุดจะบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แต่ก็ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด การฟื้นตัวของตลาดแรงงานเห็นได้จากตัวเลขผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน แม้จะเผชิญกับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนและการประท้วงหยุดงานในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีตำแหน่งงานว่าง แต่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างกลับใช้เวลานานขึ้นในการหางานใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ แม้ตลาดแรงงานจะฟื้นตัว แต่อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีสินค้าเข้าและการเนรเทศผู้อพยพ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะยาว แม้จะมีสัญญาณบวก แต่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอน การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งอัตราเงินเฟ้อ นโยบายของรัฐบาล และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
ข้อมูลสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมในเดือนพฤศจิกายน การตัดสินใจของเฟดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม และผลกระทบของนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีและการลดหย่อนภาษีต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน
โดยสรุปแล้ว ตลาดแรงงานสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว แต่ยังคงมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ การตัดสินใจของเฟด และนโยบายของรัฐบาลจะเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินทิศทางของตลาดแรงงานในอนาคต