โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2567 ทั้งหมด 10 ประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจมีการขยายตัว เรียงจากที่เติบโตสูงสุด จนถึงเติบโตน้อยสุด พบว่า
อันดับ 1 ไต้หวัน GDP + 6.5%
อันดับ 2 ฟิลิปปินส์ GDP + 5.7%
อันดับ 3 เวียดนาม GDP + 5.7%
อันดับ 4 จีน GDP + 5.3%
อันดับ 5 อินโดนีเซีย GDP + 5.1%
อันดับ 6 มาเลเซีย GDP + 3.9%
อันดับ 7 เกาหลีใต้ GDP + 3.4%
อันดับ 8 สิงคโปร์ GDP + 2.7%
อันดับ 9 ฮ่องกง GDP + 2.7%
อันดับ 10 ไทย GDP + 1.5%
ทั้งนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2567 เหลือ 2-3% ค่ากลางที่ 2.5% จากเดิมที่ 2.2-3.2% และจากค่ากลางที่ 2.7% จากปัจจัยเรื่องของสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อภาคการเกษตร
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS มองว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1/2567 ขยายตัว 1.5%YoY เติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากไตรมาสที่ 4/2566 ที่ 1.7%YoY
โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ เนื่องจากกระบวนการงบประมาณปี 2567 ใช้เวลานานกว่าคาด และการส่งออกสินค้าที่กลับมาหดตัว
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจยังได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและการส่งออกบริการที่เร่งตัวขึ้น ทั้งนี้สภาพัฒน์ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวได้ในช่วง 2.0-3.0% มีค่ากลางที่ 2.5% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.2-3.2% มีค่ากลางที่ 2.7%
อย่างไรก็ตาม Krungthai COMPASS ประเมินว่า แนวโน้มศรษฐกิจไทย ปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตได้ 2.3% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ 2.7% สอดคล้องกับมุมมองของสภาพัฒน์ ที่ประเมินว่า ศรษฐกิจในปีนี้มีปัจจัยกดดันดังนี้
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะยังมีการฟื้นตัวตามวัฏจักร
โดย GDP ไทย มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นจากไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนนั้น มีปัจจัยบวก ดังนี้
อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรี อยู่ระหว่างทบทวนการประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ เพื่อสะท้อนการเติบโตของ GDP ในไตรมาสแรกที่ดีกว่าคาด และข้อจำกัดและอุปสรรค โดยเฉพาะประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย การลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคครัวเรือนมากขึ้น
ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภคที่อ่อนแอลง และผลกระทบจากภัยแล้งที่กดดันปริมาณผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรอีกด้วย
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมร่วงลงในต้นไตรมาสสอง ชี้เศรษฐกิจยังมีความเปราะบางในการฟื้นตัว ในเดือนเมษายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนมีนาคม เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า และราคาน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นหลังจากทางการทยอยลดการอุดหนุน
ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรรม (TISI) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 90.3 จาก 92.4 เดือนมีนาคม เนื่องจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการกังวลต้นทุนการผลิตที่ปรับสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล รวมถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทต่อวัน
แม้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2/2567 จะได้แรงขับเคลื่อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มถูกกดดันจากความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม การรายงานของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ชี้ชัดว่า กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีความเสี่ยงด้านเครดิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนจากสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (หนี้ค้างชำระมากกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 90 วัน) ในไตรมาสแรกของปีนี้ปรับเพิ่มสูงขึ้น 32.4% YoY และ 15.0% YoY ตามลำดับ ซึ่งสินเชื่อในกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นหนี้เสียและอาจส่งผลให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนรุนแรงขึ้นซึ่งจะบั่นทอนการเติบโตของการบริโภคได้ในระยะถัดไป
ขณะที่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ยังมีความกังวล ต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั่นต่ำทั่วประเทศ 400 บาทต่อวัน ล่าสุด คณะกรรมการค่าจ้าง (ไตรภาคี) เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการแต่ละจังหวัดเป็นผู้พิจารณาว่าสมควรที่จะมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละเท่าไร มีกิจการใดบ้างที่ควรปรับขึ้นค่าจ้าง และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับ โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ขณะที่ฟากฝั่งรัฐบาลยังไม่พอใจกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่ 2.5% ตามที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ มองว่า ไทยต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุมครม. ว่ารัฐบาลอยากเห็นเศรษฐกิจไทย ปี 2567 ขยายตัวได้เกินกว่า 2.5% โดยควรหามาตรการต่าง ๆ มาประตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวให้มากขึ้น
“ ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ปีนี้ที่ 2.5% เมื่อเทียบกับหลายประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เติบโตมากกว่าไทย โดยหลายประเทศเติบโตมากกว่า 5% หากเราเติบโตแค่ 2.5% แม้จะเป็นตัวเลขที่ดีกว่าปีที่แล้ว แต่เราไม่ควรจะพึงพอใจแค่นี้ โดยควรหามาตรการกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยโตได้ตามศักยภาพ หรือโตให้มากกว่า 2.5%” นายพิชัยระบุ
ฉะนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงชะลอตัวอย่างชัดเจน และมีโอกาสที่จะต่ำกว่าที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศไม่เอื้อต่อการขยายตัว ต่อจากนี้คงต้องจับตาดูนโยบายการคลัง จะมีมาตรการออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหรือไม่ แม้นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะออกมาแต่ก็อาจจะไม่ทันกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้เท่าใดนัก
ขณะที่นโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการนโยบายการเงินจะมองความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอ ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ถึงเวลาที่นโยบายการเงินต้องทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหรือยัง แต่ถ้าใช้แล้วจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้จริงหรือไม่ ท่ามกลางหนี้ของประชาชนสูงขนาดนี้ เรื่องนี้คณะกรรมการนโยบายการเงินคงต้องคิดหนัก คิดดีๆ วิเคราะห์ให้รอบด้าน ก่อนที่ไทยจะไม่มีกระสุนใช้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไทย