พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ตลาดส่งออกที่โดดเด่น และสินค้าดาวเด่นที่ช่วยผลักดันการเติบโต นอกจากนี้ ยังจะสำรวจความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกในระยะต่อไป รวมถึง มาตรการส่งเสริมการค้าที่กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการเพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตนี้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงว่า การส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 มีมูลค่า 25,720.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 938,285 ล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 15.2% ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 28 เดือน หรือตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565
แม้หักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยออกไป การส่งออกก็ยังคงเติบโตได้ถึง 9.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ประกอบกับการจ้างงานและค่าจ้างที่ปรับตัวดีขึ้นในประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะในยุโรป ทำให้การบริโภคฟื้นตัวและเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย
ตลาดหลักที่กลับมาฟื้นตัวได้ดี ได้แก่ สหรัฐฯ จีน อาเซียน และสหภาพยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของ IMF ที่มองว่าเศรษฐกิจโลกจะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและยุโรป สำหรับภาพรวมการส่งออกไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 3.8% และเมื่อหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยออกไป การส่งออกก็ยังคงเติบโตได้ถึง 4.0%
มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของภาคการส่งออก โดยมีมูลค่ารวม 25,720.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 938,285 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,093.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 999,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมขาดดุล 1,373.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 61,470 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมการค้าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกมีมูลค่ารวม 171,010.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6,129,300 ล้านบาท ซึ่งขยายตัว 3.8% ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 177,626.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6,437,235 ล้านบาท ขยายตัว 4.4% ส่งผลให้ดุลการค้าในช่วง 7 เดือนแรกขาดดุล 6,615.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 307,935 ล้านบาท
ภาคการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่น่าพอใจในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 8.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังจากที่ประสบภาวะหดตัวในเดือนก่อนหน้า การเติบโตในภาพรวมนี้ได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งสินค้าเกษตรซึ่งขยายตัว 3.7% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรซึ่งมีการขยายตัวที่โดดเด่นถึง 14.6%
สินค้าส่งออกสำคัญที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ ยางพาราที่ยังคงรักษาโมเมนตัมการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ด้วยอัตราการขยายตัว 55.4%, ข้าวที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 15.6%, และไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูปที่กลับมาเติบโตอีกครั้งที่ 13.6% นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่กลับมาเติบโตในรอบ 3 เดือนที่ 20.4%, อาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 ที่ 26.6% และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ 308.4%
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสินค้าบางรายการที่เผชิญกับภาวะหดตัว เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้งที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 25.9%, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 6.5%, น้ำตาลทรายที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ 39.1% และเครื่องดื่มที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ที่ 10.4% ถึงแม้ว่าจะมีสินค้าบางรายการที่ประสบภาวะหดตัว แต่ภาพรวมการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวก โดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 4.0%
ภาคการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 แสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 15.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ซึ่งกลับมาขยายตัวได้ถึง 28.0% หลังจากที่หดตัวในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ 82.6%, ผลิตภัณฑ์ยางที่กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือนที่ 13.8%, เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ที่ 34.1% และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบที่กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือนที่ 27.8%
อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกยังคงเผชิญกับความท้าทายจากสินค้าบางรายการที่ประสบภาวะหดตัว เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบที่กลับมาหดตัวอีกครั้งที่ 12.8%, แผงวงจรไฟฟ้าที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ที่ 8.7%, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอดที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 16.6% และเครื่องยนต์สันดาปภายในลูกสูบและส่วนประกอบที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ 15.0%
แม้จะมีความท้าทายดังกล่าว แต่ภาพรวมการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตในเชิงบวก โดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 3.8% ซึ่งบ่งชี้ถึงความสามารถในการปรับตัวและความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมไทยในการเผชิญกับสภาวะตลาดโลกที่มีความผันผวน
ตลาดส่งออกสำคัญของไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า โดยเฉพาะตลาดหลักอย่าง สหรัฐฯ จีน อาเซียน 5 ประเทศ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย) กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และสหภาพยุโรป ต่างมีการขยายตัวอย่างโดดเด่น สำหรับภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ มีดังนี้
ภาพรวมการส่งออกไทยในตลาดโลก
การขยายตัวที่แข็งแกร่งในตลาดส่งออกหลักและรองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยในการตอบสนองต่อพลวัตของเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว
สำหรับตลาดสหราชอาณาจักร ฟื้นตัวกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในรอบ 11 เดือน โดยมีอัตราการเติบโต 13.3% สินค้าที่โดดเด่นในการเติบโต ได้แก่ ไก่แปรรูป, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการที่หดตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, และรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ส่งผลให้ภาพรวม 7 เดือนแรกของปี 2567 ยังคงหดตัวอยู่ที่ 11.5%
กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินมาตรการสำคัญหลายอย่างในเดือนกรกฎาคมเพื่อส่งเสริมการส่งออกของไทย:
กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยในปี 2567 จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงภาคการผลิตอุตสาหกรรมทั่วโลกที่กำลังปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลยังเป็นแรงหนุนสำคัญให้สินค้าที่เกี่ยวข้องเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันการส่งออก โดยเฉพาะความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจและการค้าหลังการเลือกตั้งในหลายประเทศสำคัญ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะจับตาสถานการณ์เหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและปรับกลยุทธ์การส่งเสริมการค้าให้เหมาะสมต่อไป