เหตุอุปกรณ์สื่อสารอย่างเพจเจอร์และวิทยุสื่อสารหรือวอล์กกีทอล์กกีระเบิดในกรุงเบรุตและพื้นที่อื่นๆของเลบานอน นอกจากจะทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 37 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 3,450 คน ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนในเลบานอน หลายคนไม่กล้าใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต บางคนถอดซิมการ์ดและแบตเตอรีมือถือออก เพราะเกรงว่า มันอาจจะเกิดระเบิดขึ้นมาสักวัน
สำนักข่าวเอเอฟพีไปสัมภาษณ์ลินา อิสมาอิล หญิงชาวเลบานอนที่อาศัยอยู่ในเมืองบาอัลเบ็กว่า สิ่งที่เกิดขึ้นสองวันก่อนคือความน่ากลัว และเพราะความกลัวเธอจึงปิดอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมด เธอถึงขั้นไปเอาพาวเวอร์แบงก์ของลูกสาวไปเก็บไว้ที่อื่น และแยกโทรศัพท์มือถือเอาไว้อีกห้องตอนนอนหลับ
อิสมาอิลบอกว่า ในช่วงสงคราม ก็อาจจะมีเครื่องบินมาโจมตี และเพียงแค่นั้นก็จบ แต่สิ่งที่ไม่มีอะไรน่ากลัวเทียบเท่าได้ก็คือ บางคนเดินๆอยู่ก็ระเบิดขึ้น หรืออยู่ในบ้านเฉยๆก็มีระเบิดขึ้นได้ เธอยังเล่าด้วยว่า เธอได้ยินเสียงระเบิดสามครั้งดังขึ้นใกล้ๆกับบ้านของเธอ สองครั้งมาจากบ้านสองหลัง และอีกหนึ่งครั้งเป็นเสียงระเบิดรถยนต์
การจราจรบนท้องถนนในกรุงเบรุตและภูมิภาคทางตอนใต้เริ่มกลับมาเป็นปกติเมื่อวานนี้ (19 กันยายน 2024) หลังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยปิดทำการเรียนการสอนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพราะเกิดเหตุระเบิดถึงสองระลอก อย่างไรก็ตาม โรงเรียนและมหาวิทยาลัยกลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้วเมื่อวานนี้ แต่ก็ยังมีนักเรียนนักศึกษาไปเรียนกันไม่มากนัก
มาเรีย โบอัสตานี นักวางแผนจัดงานอีเวนท์ บอกกับทีมงานของเธอให้ทิ้งวอล์กกีทอล์กกี ที่ตามปกติเอาไว้ใช้สื่อสารกันเวลาจัดงานแต่งงานหรืองานอื่นๆ เนื่องจากวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยถึงแม้จะไม่ใช่ยี่ห้อเดียวกันกับที่เกิดเหตุระเบิด แต่เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นตอนนี้จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้แอพลิเคชัน WhatsApp แทนเพราะน่าจะปลอดภัยมากกว่า
ฮัซซัน ฮาร์ฟูช์ นักข่าวของเมล์ออนไลน์รายงานว่า บรรดาผู้คนต่างตื่นตระหนก และมีข่าวลือที่แพร่สะพัดว่าโซลาร์เซลล์อาจจะระเบิดได้ รวมถึงแบตเตอรีและอื่นๆ และมีข่าวปลอมด้วยว่า โทรศัพท์ก็ระเบิดแล้ว ซึ่งแม้กระทั่งตัวเขาเองยังบอกให้พ่อกับแม่หาถังดับเพลิงมาไว้ ในกรณีที่อะไรในบ้านเกิดระเบิดขึ้น
ด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ มิกาตีของเลบานอน เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาช่วยต่อต้านการทำสงครามทางเทคโนโลยีในประเทศของเขา โดยในแถลงการณ์ เขาขอเรียกร้องให้สหประชาชาติแสดงจุดยืนที่หนักแน่นเพื่อยับยั้งไม่ให้อิสราเอลแทรกแซงเลบานอน และทำสงครามเทคโนโลยี
ส่วนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของเลบานอนเตือนว่า เลบานอนต้องเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายกว่านี้ เพราะเหตุโจมตีสองระลอกติดก็แสดงให้เห็นแล้วว่า อิสราเอลไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้วิธีแก้ปัญหาทางการทูตเลย และตอนนี้ การทำให้เทคโนโลยีกลายเป็นอาวุธก็กลายมาเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่น่าเป็นกังวล ไม่เพียงแต่เฉพาะเลบานอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆบนโลก รวมถึงความขัดแย้งอื่นๆด้วย
อย่างไรก็ตาม นับจนถึงขณะนี้ อิสราเอลยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นใดๆเรื่องเหตุระเบิดสองระลอกในเลบานอนเลย แม้ว่าทางกลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะออกมากล่าวโทษและประณามก็ตาม